วันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) จุลภาส เครือโสภณ หรือ ‘ทอม เครือโสภณ’ นักธุรกิจและล็อบบี้ยิสต์ ให้สัมภาษณ์กับ The Momentum โดยเปิดเผยว่า การที่ ฌอน โคทาโร โอนีล (Sean Kotaro O’Neill) ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย สื่อสารว่า ประไทยไม่ควรรบกับประเทศกัมพูชา เพราะจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์นั้น แสดงให้เห็นว่า การสื่อสารของรัฐบาลไทยไปยังประชาคมโลกนั้น ‘อ่อนแอ’ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด

แม้ว่าท่าทีของ โดนัล ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นการรบครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนาน โดยสื่อสารไปยังรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศคู่ขัดแย้งว่า หากยังมีการรบเกิดขึ้น การเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) คงเป็นไปได้ยาก 

“การที่ว่าที่ทูตสหรัฐฯ พูดว่าจะมาตักเตือนประเทศไทยว่า ไม่ควรรบกับประเทศกัมพูชา เพราะจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชาแย่ลง แปลว่า สื่อหรือข้อมูลที่สหรัฐฯ ได้จากประเทศไทยแย่มาก ถ้าเทียบกับสื่อหรือข้อมูลจากประเทศกัมพูชาที่ปล่อยให้ชาวโลกว่า ไทยเราเป็นฝ่ายรุนแรง เป็นฝ่ายคนกระทำก่อน”

อย่างไรก็ตามทอมมองว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น ‘ไม่ได้เป็นที่สนใจ’ ของโลกมากขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นสื่อใหญ่ เช่น CNN, FOX หรือแม้แต่ BBC ก็ไม่ได้ทำข่าวรุนแรงเหมือนสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยทอมยังมองว่า ประชาคมโลกเห็นว่า ปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาระหว่างเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ ยังไม่ลุกลามไปประเทศอื่นๆ แต่หากมีการลุกลามเกิดขึ้น ประเทศจีนก็ต้องอยู่ฝ่ายกัมพูชา ขณะที่สหรัฐฯ ก็คงอยู่ฝ่ายของไทย

“แต่เป็นที่น่าเสียดาย ในสายตาของคนที่สนใจ ประเทศไทยกลับดูเหมือนเป็นคนเลว เพราะสื่อสารของเราไม่รวดเร็ว หรือปั่นข่าวได้อย่างกัมพูชาทำ” ทอมกล่าว

เมื่อถามถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมกัมพูชาดู ‘ชนะ’ ในสงครามข่าวสารครั้งนี้ ทอมระบุว่า เป็นเพราะกัมพูชามีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว แต่สำหรับประเทศไทยกลับมีหลายหน่วยงานที่ไม่ประสานกันเป็นเนื้อเดียว ทอมกล่าวต่อว่า เวลาที่เกิดสงครามต้องมีผู้บัญชาการเพียงคนเดียว ทุกอย่างต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“คนไทยเรายังกัดกันเองอยู่เลย เรายังรวมตัวรวมใจกันไม่ได้เลยว่า ศัตรูที่แท้จริงของเราคือเขมร เรายังมีประท้วงในวันที่ 2 สิงหาคมนี้อยู่เลย เมื่อศึกนอกมันเข้ามาแล้ว แต่ศึกในเรายังแรงกว่า เราจะชนะข่าวกัมพูชาได้อย่างไร” นักธุรกิจชื่อดังกล่าว

ดังนั้นในมุมมองของทอมมองว่า รัฐบาลจะต้องตั้ง ‘โฆษก’ สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างชำนาญ มีความรู้ความเข้าใจสื่อของสหรัฐฯ​ สื่อของยุโรป รวมถึงสื่อของจีน และสื่อสารไปว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายที่บุกรุกไทยก่อน

อีกเรื่องที่ทอมมองว่า ไทยสามารถกระทำได้ เนื่องจากประชาชนชาวกัมพูชามีพฤติกรรมเสพสื่อโทรทัศน์ของไทย ดังนั้นจะต้องทำสื่อโฆษณาสั้นๆ เพื่อให้คนกัมพูชาเห็นว่า สมเด็จ ฮุน เซน (Hun Sen) ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เอาเปรียบประชาชนชาวกัมพูชามาตลอด 40 ปี

“เราต้องทำโฆษณาเยอะๆ อัดฮุน เซน ให้คนกัมพูชาเห็นว่า ผู้นำของเขารวยเอาๆ แต่คุณกลับจนลง เขาสิ่งนี้เรียกว่า Psychological Warfare ซึ่งประเทศไทยตอนนี้เราเล่นไม่เป็นเลย

“เพราะท้ายที่สุดแล้ว สงครามนี้ไม่ได้ชนะด้วยลูกกระสุนอย่างเดียว มันชนะด้วยการออกข้อมูลและสื่อที่ทำให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบ แต่วันนี้กัมพูชาเขาเร็วกว่าเรา เขามีข้อความอันเดียวต่อเรา อีกนัยหนึ่งคือเราเองก็ไม่เก่งประชาสัมพันธ์ วันนี้เราไม่มีทีมหรือคน PR ให้ชัดเจน” ทอมระบุ

ทอมยังทิ้งท้ายกับ The Momentum ไว้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังรับมือกับชายแก่โรคจิต-ขี้งอน ความหวังของทุกฝ่ายคือ ไม่ต้องการให้เรื่องข้อพิพาทบานปลาย ในเมื่อไทยต้องรบกับสุนัขบ้า วิธีการเดียวที่ต้องกระทำคือ หาทางระงับสุนัขบ้าให้ได้

“จริงๆ แล้วนโยบายของประเทศไทย นายกฯ ควรประกาศเลยว่า นโยบายของประเทศไทยคือ ทำทุกวิถีทางให้กัมพูชาได้เสรีภาพจากผู้นำที่เลวร้ายกับชาวกัมพูชามาตลอด 40 ปี เราต้องชัดเจนว่า ไทยไม่ได้รบกับชาวกัมพูชา แต่เราจะหาทุกวิถีทางล้มฮุน เซนกับครอบครัวของเขาให้ได้

“สหรัฐฯ ยังบอกเลยว่า ต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ คิม จองอึน (Kim Jong-un) ผู้นำของเกาหลีเหนือลงจากอำนาจ เพราะเป็นผลประโยชน์ที่ดีสำหรับโลก เป็นผลที่ดีต่อเกาหลีเหนือ เราก็บอกเขาไปสิว่า ฮุน เซนเป็นโจรของโลก เป็นคอลเซนเตอร์ ทำพนันเถื่อน โสเภณี ยาเสพติด และฟอกเงิน เราต้องทำ PR เช่นนี้” ทอมทิ้งท้าย

Tags: , , , ,