สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึง ‘อาการไอเรื้อรัง’ ของ โจโค วิโดโด (Joko Widodo) หรือโจโควี (Jokowi) ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความรุนแรงของมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้นในกรุงจาการ์ตา
“ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ได้ขอให้มีขั้นตอนรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศภายใน 1 สัปดาห์ เขาไอแบบนี้มาเกือบ 4 สัปดาห์ และบอกผมว่า ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย” ซานดิเอกา อูโน (Sandiaga Uno) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อินโดนีเซีย ถ่ายทอดเรื่องราวกับสาธารณชน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อหารือเรื่องมลพิษทางอากาศในวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา
อูโนเสริมว่า แพทย์กำลังวินิจฉัยอาการไอของโจโควี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศที่แย่ลงของเมืองหลวง และต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป
มีการเปิดเผยเนื้อหาการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ว่า โจโควีกล่าวโทษต้นตอของปัญหามลพิษทางอากาศ คือการใช้ยานพาหนะบนท้องถนนที่มากเกินไป ฤดูแล้งอันยาวนาน การใช้พลังงานจากถ่านหิน และออกคำสั่งให้หน่วยงานอื่นๆ เร่งสร้างพื้นที่สีเขียวมากขึ้น รวมถึงนโยบายทำงานจากที่บ้านเพื่อลดการเดินทาง สอดคล้องกับข้อมูลจาก IQAir แอปพลิเคชันวัดคุณภาพอากาศจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ระบุว่า เมืองหลวงของอินโดนีเซียมีสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก
“คุณภาพอากาศในกรุงจาการ์ตาแย่มาก เพราะฤดูแล้งที่ยืดเยื้อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาทำให้ระดับมลพิษรุนแรงขึ้น
“หากมีความจำเป็น เราจะสนับสนุนระบบการทำงานแบบผสมผสาน ทั้งการทำงานในออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้าน” โจโควีกล่าว โดยนโยบายข้างต้นมีการประกาศใช้เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2023) จนถึงเดือนตุลาคม
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียระบุว่า ตลอดทั้งเดือนสิงหาคม มีพลเมืองที่อาศัยอยู่ในจาการ์ตากำลังเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนถึง 6 แสนคน
ทั้งนี้ โจโควีคือผู้นำขวัญใจชาวอินโดนีเซียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ระดับความพึงพอใจการทำงานต่อหมู่ประชาชนพบว่า พลเมืองถึง 76.2% ประทับใจกับการทำงานของเขา โดยเฉพาะการรับมือวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
ทว่าประชาชนและผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็แสดงความคิดเห็นเชิงเหน็บแนมว่า โจโควีได้รับผลกรรมจากการกระทำของเขาเอง เพราะภาครัฐอินโดนีเซียเพิกเฉยต่อการจัดการมลพิษทางอากาศตลอดในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในคดีฟ้องร้องเรื่องนี้ก็ตาม
“นี่มันน่าเศร้ามากใช่ไหมล่ะ รัฐบาลเพิ่งตระหนักต่อปัญหาและวุ่นวายกับมัน เมื่อประธานาธิบดีไอมาตลอดทั้งเดือน
“มีกี่คนที่ป่วยและตายเพราะมลพิษทางอากาศในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลปฏิเสธแก้ไขปัญหา?” เอลิซา ซูตานูจาจา (Elisa Sutanudjaja) แสดงความคิดเห็นกับสำนักข่าวอัลจาซีรา (Al Jazeera) เธอเผยว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นสักนิดกับการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดการปัญหาคุณภาพทางอากาศ
ซูตานูจาจาเป็นหนึ่งใน 35 พลเมืองที่ยื่นฟ้องประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐต่อประเด็นการจัดการมลพิษทางอากาศในปี 2021 และได้รับชัยชนะในคดีนี้ หลังศาลตัดสินว่า โจโควีพร้อมด้วยรัฐมนตรี 3 คน และผู้ว่าราชการจังหวัด 3 คน ละเลยมาตรการควบคุมมลพิษทางอากาศ และต้องรับผิดชอบต่อสภาวะนี้ด้วยการดำเนินนโยบายปรับปรุงคุณภาพอากาศ รวมถึงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศของภาครัฐ เพื่อเอื้ออำนวยนโยบาย
ขณะที่ อานีส บาสวีดัน (Anies Baswedan) ผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตาในช่วงเวลาดังกล่าว ยืนยันว่า จะไม่อุทธรณ์คำตัดสินและขอเดินหน้าลงมือแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ทว่าโจโควีและรัฐมนตรีหลายราย กลับยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลในปี 2022 ซึ่งก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเขาอีกครั้ง และในปี 2023 พวกเขาก็ยังไม่ลดละความพยายามเพื่อขออุทธรณ์ครั้งสุดท้าย โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนระหว่างการพิจารณา
“ฉันรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นว่า รัฐบาลกลางทำได้แค่ผลักภาระความรับผิดชอบให้ประชาชน พวกเขาได้แต่คาดหวังว่า ผู้คนจะใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ถึงแม้ระบบขนส่งมวลชนของประเทศจะแย่มากก็ตาม
“รัฐบาลเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า และหันกลับมาเอาแต่ตำหนิประชาชนในเรื่องการสร้างมลพิษเท่านั้น” ซูตานูจาจาแสดงความคิดเห็นถึงนโยบายของโจโควี
“นี่เป็นภาวะฉุกเฉิน และต้องจัดการอย่างเร่งด่วน รัฐไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ ก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่าง” บอนดัน อันดริยานู (Bondan Andriyanu) ผู้รณรงค์ปัญหาด้านสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซ (Greenpeace) อินโดนีเซีย กล่าวกับอัลจาซีรา
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า กำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาครั้งนี้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการ ‘ย้ายเมืองหลวง’ ไปยัง ‘นูซันตารา’ (Nusantara) ซึ่งอยู่ในกาลิมันตันตะวันออก (East Kalimantan) ของเกาะบอร์เนียว (Borneo)
แผนการย้ายเมืองหลวงของโจโควีเปิดเผยในช่วงวันประกาศอิสรภาพของอินโดนีเซียปี 2019 และได้รับการการันตีว่า เป็น ‘การยกเครื่อง’ เพื่อทลายวิกฤตของประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่ติดขัด ความแออัดของชุมชน หรือแม้แต่ความเสี่ยงเมืองจมน้ำถาวร เพราะการขุดน้ำบาดาลอย่างไร้ทิศทาง
อย่างไรก็ดี ก็มีกระแสตอบโต้จากกลุ่มเคลื่อนไหวและนักวิชาการที่มองว่า การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
“การย้ายเมืองหลวงใหม่เป็นเพียงการชะลอปัญหาชั่วคราวเท่านั้น ผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศในอินโดนีเซีย มีความร้ายแรงและไม่ควรประมาทเป็นอันขาด” บริดเจต เวลช์ (Bridget Welsh) จากมหาวิทยาลัยน็อตติงแฮม (University of Nottingham) แสดงความคิดเห็นกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN)
“การย้ายเมืองหลวงเป็นเพียงข้อแก้ตัว พวกเขาแค่ยกปัญหาไปไว้ที่อื่นเท่านั้น” ซูตานูจาจาแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายย้ายเมืองหลวงของรัฐบาล
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2023/08/16/asia/indonesia-pollution-jokowi-cough-intl-hnk/index.html
Tags: ฝุ่น, การย้ายเมืองหลวง, จาการ์ตา, รัฐบาลอินโดนีเซีย, ปัญหาสิ่งแวดล้อม, ฝุ่น PM 2.5, โจโค วิโดโด, ปัญหาฝุ่น, การเมืองอินโดนีเซีย, มลพิษทางอากาศ, โจโควี, PM 2.5, Joko Widodo, อินโดนีเซีย, นูซันตารา, คุณภาพอากาศ, Jakarta