วันนี้ (7 สิงหาคม 2025) การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนฝั่งไทยคือ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และรักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พลเอก เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เข้าร่วม ซึ่งมีมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีนเป็นประเทศสังเกตการณ์ ได้ผลการสรุปเบื้องต้น 13 ข้อดังต่อไปนี้

1. ไทยและกัมพูชาหยุดยิง (Ceasefire) และยุติการใช้อาวุธทุกประเภท ซึ่งได้แก่ การโจมตีพลเรือน เป้าหมายพลเรือน เป้าหมายทางทหาร ในทุกกรณีและพื้นที่ โดยข้อตกลงนี้จะต้องไม่ถูกละเมิดไม่ว่าด้วยสถานการณ์ใดทั้งสิ้น

2. ทั้ง 2 ประเทศคู่เจรจาต้องรักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2025 เวลา 12.00 น. โดยจะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และลาดตระเวนไปยังพื้นที่ของอีกฝ่าย

3. ไทยและกัมพูชาตกลงว่า จะไม่เพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนใดๆ โดยจะยิ่งสร้างความตึงเครียดและส่งผลกระทบด้านลบต่อความพยายามระยะยาวในการบรรลุสันติภาพ

4. สองประเทศต้องไม่กระทำการใดๆ ที่ยั่วยุทำให้เกิดความตึงเครียด ได้แก่ การสร้างกิจกรรมทางทหารในชายแดน น่านฟ้า หรือพื้นที่ของแต่ละฝ่ายตามข้อตกลงหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวยังรวมถึงการสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือปรับปรุงโครงสร้างทางทหาร หรือป้อมปราการที่ไม่ใช่ฝ่ายของตนเอง

5. ไทยและกัมพูชาต้องไม่ใช้กำลังต่อพลเรือนและเป้าหมายพลเรือน โดยการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อชุมชนรอบชายแดน แต่ยังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และทำลายภาพลักษณ์ประเทศไม่พึงปรารถนาในสายตาชาวโลกอีกด้วย

6. ไทยและกัมพูชาจะปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อเชลยทหาร ทั้งสภาพความเป็นอยู่ ที่พักพิง อาหาร และการดูแลรักษาทางแพทย์ ขณะที่ทหารที่ถูกจับต้องได้รับการปล่อยตัว และส่งกลับประเทศทันทีตามมาตรา 118 ของอนุสัญญาเจนีวา

7. หากเกิดการขัดแย้งด้วยอาวุธ ทั้งเจตนาหรือไม่เจตนา ไทยและกัมพูชาต้องหารือในระดับท้องถิ่นทันที โดยอาศัยกลไกทวิภาคี เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปทั่วชายแดน 

8. ไทยและกัมพูชาเห็นชอบให้เพิ่มเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 

– ทั้งสองประเทศต้องติดต่อกันตลอด ทั้งกองทัพ เขตทหารทุกพื้นที่ และหน่วยต่างๆ ตามชายแดน

– จัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ภายใน 2 สัปดาห์หลังการประชุม GBC เสร็จสิ้นในวันนี้ โดยใช้ระบบหมุนเวียนเจ้าภาพ

– รัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย-กัมพูชา ต้องติดต่อสื่อสารโดยตรงและสม่ำเสมอ

9. ไทยและกัมพูชาต้องงดการเผยแพร่ข่าวปลอมเพื่อลดความตึงเครียด ความรู้สึกด้านลบในหมู่ประชาชน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่อำนวยต่อการเจรจาโดยสันติ

10. สองประเทศคู่ขัดแย้งมุ่งหมายทำตามข้อตกลงในวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งรวมถึงการหยุดยิง และการตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer) ที่นำโดยมาเลเซีย เพื่อให้มั่นใจว่า ข้อตกลงของไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นจริง

11. ไทยและกัมพูชามอบหมายให้ RBC ทำงานตามข้อตกลงหยุดยิง ผ่านการประสานของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ขณะที่ RBC จะประชุมอย่างสม่ำเสมอ และส่งรายงานไปที่ GBC ของแต่ละประเทศ

12. คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่นำโดยมาเลเซียเป็นคณะทำงานชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมในไทยหรือกัมพูชา และนำโดยผู้ช่วยทูตฝั่งมาเลเซีย โดยการจัดตั้งจะแยกจากกันอย่างอิสระ

ทั้งนี้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจะได้รับเชิญจากประเทศตัวกลางอย่างมาเลเซีย และปรึกษาหารือกับทั้ง RBC และ GBC

13. ไทยและกัมพูชาเห็นชอบให้จัดการประชุม GBC ภายใน 1 เดือน หลังการประชุมวันที่ 7 สิงหาคม 2025 โดยจะตกลงสถานที่ในภายหลัง หรือต้องมีการประชุม GBC แบบพิเศษเพื่อหารือข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน

Tags: , , , , ,