“ผมชวนไปเอง จบนะ ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะว่าเรื่องกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัวภายใน” 

ประโยคที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ได้พา เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด หรือที่หลายคนรู้กันว่า เป็น ‘นายใหญ่’ พรรคภูมิใจไทย ไปเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา 

ภายหลังบ่ายเบี่ยงในการตอบคำถามอยู่นาน อนุทินยอมรับถึงการเข้าพบครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพียงการเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 66 ปีของเนวินเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังตามการรายงานของสื่อหลายฉบับที่รายงานตรงกันว่า อดีตนายกฯ ทักษิณนั้นไม่พอใจกรณีที่เนวินอวยพรให้กับอนุทินในระหว่างพิธีปะกำช้างว่า ‘ผูกให้ได้เป็นนายกฯ’ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา จึงได้เรียกทั้งสองเข้าพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้าภายหลัง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ความไม่พอใจของผู้นำจิตวิญญาณทั้งสองถือว่าเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ อนุทินตอบว่า ความขัดแย้งนั้นไม่มีอยู่จริงและประโยคที่หลายสื่อใช้กันว่า ‘มันจบแล้วครับนาย’ ตนก็ไม่ทราบว่า ใครพูดประโยคนี้ จนเป็นสาเหตุให้สื่อใช้มาตลอดกว่า 10 ปี

วันนี้ The Momentum จึงขอชวนย้อนรอยเหตุการณ์เบื้องหลังที่มาของประโยค ‘มันจบแล้วครับนาย’ ว่าแท้จริงแล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร และใครเป็น ‘ผู้พูด’ ตัวจริง ที่แม้แต่ตัวของอนุทินก็ยังไม่รู้

หากต้องเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ต้องเริ่มย้อนความจากในยุคพรรคไทยรักไทย ที่เนวินเป็นหนึ่งใน ‘องครักษ์’ คนสำคัญของทักษิณ นายกฯ ในเวลานั้น

เป็นที่รู้กันว่า งานมวลชนและงานใต้ดินอยู่ในมือของเนวินแทบทั้งหมด วันที่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เนวินคือหนึ่งในรายชื่อแรกๆ ที่ถูกคณะทหารจับตัว ซ้ำยังถูกจับ ‘แก้ผ้า’ เพื่อหา ‘ของขลัง’ ที่ว่ากันว่า เนวินพกติดตัวไว้ตลอด

นับจากนั้น เมื่อสถานการณ์การเมืองเข้าสู่โหมดปกติ เนวินกลับมาอีกครั้ง โดยเป็นกำลังสำคัญของพรรคพลังประชาชน พรรคใหม่ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค ก่อนที่สมัครได้เป็นนายกฯ ในเวลาต่อมา

เนวินมีชื่อเป็นหนึ่งใน ‘แก๊งออฟโฟร์’ ร่วมกับสมัคร, นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกฯ ในเวลานั้น โดยมีเสียงในพรรคร่ำลือกันว่า แก๊งออฟโฟร์ต่างตีตัวออกหากจากศูนย์กลางพรรคอย่างทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ 

และสุดท้ายเนวินก็เป็นเจ้าของ ‘ดีล’ บันลือโลก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนช่วงสิ้นปี 2551 เนวินนำ ส.ส.กว่า 30 คน ‘ข้ามขั้ว’ ไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การดีลของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น โดยมี ‘ทหาร’ เป็นตัวช่วย และเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ที่สุดท้ายมี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ

และยังเป็นการพลิกขั้วที่ก่อกำเนิดขบวนการคนเสื้อแดง ที่มีข้อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภาฯ ในเวลาต่อมา

นั่นจึงเป็นเหตุให้หลังจากนั้นมีการรายงานกันของสื่อภายในประเทศว่า เนวินได้พูดคุยกับทักษิณ ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคไทยรักไทย ซึ่งเวลานั้นอยู่ที่สหราชอาณาจักร โดยไฮไลต์ตอนหนึ่งระหว่างการพูดคุยคือ ประโยคที่ว่า ‘มันจบแล้วครับนาย’ ทำให้กลุ่มการเมืองของเนวินและพรรคพลังประชาชนต้องแยกทางกันหลังจากนั้น

ในวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ปรากฏภาพของเหล่าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์นำโดยอภิสิทธิ์ เดินทางมายังโรงแรมสยามซิตี้ เพื่อเชิญกลุ่มเพื่อนเนวินเข้าร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ พร้อมมอบดอกกุหลาบแดงจากประเทศเนเธอร์แลนด์ให้เพื่อเป็นการแสดงความยินดี 

ในวันเดียวกันนั้น เนวินให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า การตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นการแลกด้วยความเจ็บปวด แต่จำเป็นเพราะบ้านเมืองต้องมีทางออก เราไม่สามารถปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายได้ โดยย้ำว่า ทักษิณยังมีสถานะเป็นที่เคารพของตนเสมอ

“ท่านก็ยังเป็นนายอยู่ ผมกับท่านคุยกันหลายรอบแล้ว แต่ขอเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับท่าน” เนวินให้สัมภาษณ์

ขณะที่ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา ในวันที่ 8 เมษายน 2552 ท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภาฯ เนวินออกมาแถลงข่าวถึงทักษิณอย่างเผ็ดร้อนว่า ตนเองเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทาส เมื่อแยกออกไปแล้ว ก็ขอให้อย่าไล่ล่ากัน 

“กรณีผมกับท่านนายกฯ ทักษิณไม่ใช่การหักหลัง แต่เป็นเรื่องของคนคิดต่างในทางการเมือง กรณีพวกผม เมื่อเห็นต่างจากท่านนายกฯ ทักษิณ พวกผมถูกไล่ล่า ทำลายล้าง ผมอยากฝากไปยังท่านนายกฯ ทักษิณว่า พวกผมเป็นคน เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทาส กี่คนแล้วที่เห็นต่างจากท่านนายกฯ ทักษิณ ที่เห็นต่าง แยกไป แล้วถูกไล่ล่า ทำลายล้าง”

“ผมเคยตกเป็นครื่องมือมาแล้ว ผมเป็นแค่หมาล่าเนื้อ วันไหนผมเห็นต่าง ผมไม่ทำตามใจ ผมก็เป็นได้แค่คนเนรคุณ คนหักหลัง สำหรับท่านนายกฯ ทักษิณ” 

ขณะเดียวกัน เนวินยังแถลงถึงทักษิณว่า ขอให้ทักษิณสั่งให้คนของตนเอง ‘หยุดก้าวล่วงพระราชอำนาจ’ เพื่อให้เห็นว่า ยังจงรักภักดี ทั้งยังขอให้ทักษิณหยุดการสนับสนุน หยุดการเคลื่อนไหว และหยุดการทำให้บ้านเมืองแตกแยก

ประเด็นดังกล่าวทำให้เห็นว่าทักษิณและเนวินแยกทางกันถาวร พรรคภูมิใจไทยกลายเป็น ‘คู่แข่ง’ กับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งหลังจากนั้น

กระทั่งปี 2566 ที่ผ่านมา สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนฟาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝั่งอนุรักษนิยมเดิมไม่อาจนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เนวินและทักษิณจึงได้โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในวันที่เนวินมีอำนาจต่อรอง มี ส.ส.พรรคภูมิใจไทยมากกว่า 70 เสียง มีกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงใหญ่ๆ อีกเพียบในมือ อีกทั้งยังคุมมือของ ส.ว.ได้ สามารถแฮกระบบเลือกตั้งอันพิสดารของ ส.ว.ได้

วินาทีนี้ ‘มันจบแล้วครับนาย’ จึงอาจเกิดขึ้นอีกรอบ

ในวันที่เนวินไม่จำเป็นต้องสนใจ ‘นาย’ อีกต่อไปแล้ว

Tags: , , , , , , , , ,