วันนี้ (25 มีนาคม 2568) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายในประเด็นผลกระทบของเศรษฐกิจจากทุนจีนศูนย์เหรียญในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน
ตอนหนึ่งของการอภิปรายมีการกล่าวถึงการแทรกซึมของกิจการชาวจีนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยสิทธิพลระบุว่า การเข้ามาเปิดกิจการของชาวจีนในพื้นที่หนาแน่น เกิดจากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล กระทบกับธุรกิจชุมชนโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก เช่นจังหวัดระยองที่ปัจจุบันร้านค้า SME ของชาวไทยถูกแทนที่ด้วยกิจการของชาวจีนค้าที่ขายให้คนชาติเดียวกัน
สิทธิพลเปิดเผยว่า ตนพร้อม สส.จากพรรคประชาชน ลงพื้นที่สำรวจร้านค้าบริเวณถนนฝายตาจุ้ย ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พบว่า ในระยะ 800 เมตรบนถนน มีกิจการของชาวจีนตั้งอยู่มากถึง 23 กิจการ ประกอบด้วยกิจการร้านอาหาร กิจการก่อสร้าง สถานบันเทิง ร้านขายของชำ ร้านวัตถุดิบ ร้านผลไม้ ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกิจการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งภายในร้านสะดวกซื้อของชาวจีนในพื้นที่ดังกล่าวพบว่า สินค้าภายในร้านเป็นสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ส่วนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี สิทธิพลเปิดภาพของร้านนวดและสปาแห่งหนึ่ง เป็นกิจการที่เปิดโดยชาวจีน มีพนักงานภายในร้านเป็นชาวจีน ซ้ำยังให้บริการชาวจีนด้วยกัน ในขณะที่อาชีพดังกล่าวสงวนไว้ให้กับคนไทย
หลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า มีการกระทำผิดกฎหมายในกิจการของชาวจีนที่เปิดในประเทศไทย คือกรณีของการชำระเงิน โดยมีคลิปวิดีโอที่บันทึกโดยเพื่อนของ สส.พรรคประชาชน ในระหว่างชำระเงินค่าสินค้าภายในร้านสะดวกซื้อของชาวจีนในไทย ซึ่งพบว่า มีการใช้คิวอาร์โค้ดชำระเงินที่ไม่ใช่ของธนาคารไทย เมื่อโอนผู้ชำระเงินจะได้รับสลิปเป็นภาษาจีน และมีสกุลเงินที่จ่ายเป็นเงินหยวน ซึ่ง สิทธิพลชี้ว่า เงินจะถูกโอนไปยังประเทศจีนทันที
สิทธิพลยังระบุว่า ผู้ประกอบการชาวจีนมีคิวอาร์โค้ดสำหรับชำระเงินของธนาคารไทย ไว้เผื่อคนไทยหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาภายในร้านสะดวกซื้อ เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบพบการกระทำผิดกฎหมายอีกด้วย
สำหรับข้อมูลของกระทรวงแรงงานที่สิทธิพลนำมาเผยแพร่พบว่า มีคนจีนอยู่ใน 3 จังหวัด ราว 9,000 คน ในเวลาต่อมาจึงเอาตัวเลขไปคุยกับหอการค้าจังหวัด คุยกับประชาชนในพื้นที่ ทุกคนส่ายหัวว่า เหตุใดจึงน้อยขนาดนั้น และเมื่อถามว่าได้ไปตรวจหรือไม่ว่า มีแรงงานจีนผิดกฎหมายเท่าไร ในปีที่แล้วตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2567-22 มกราคม 2568 หรือครึ่งปีหลัง พบแรงงานจีนผิดกฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้แค่ 2 คน ได้แก่ ฉะเชิงเทรา 2 คน, ระยอง 0 คน และชลบุรี 0 คน ซึ่งน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งนี้หากแรงงานต่างชาติเป็นแรงงานทักษะสูง เป็นผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ก็คงเห็นด้วยเพราะ EEC เปิดช่องให้จ้างได้ หากต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ จบปริญญาโท มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 3 ปี ถ้าเป็นผู้ชำนาญการ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ หรือกิจการที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อไปดูของจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น โดยจากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี พบคนจีนรวมทั้งสิ้น 1.5-1.6 หมื่นคน คำถามคือคนจีนเหล่านี้อยู่ได้อย่างไร และทำไมต่างจากตัวเลขที่กระทรวงแรงงานเก็บได้มากนัก
สิทธิพลระบุว่า ประเด็นใหญ่คือมาตรการฟรีวีซ่า ที่นายกฯ จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ โดยสำนักข่าวไปสัมภาษณ์คนไทยในบริษัทคนจีน ที่คนงานในบริษัทมีพฤติกรรม ‘เวียนเทียนวีซ่า’ เข้าออกประเทศ อยู่ครบกำหนด 60 วัน 90 วัน ก็เวียนออกแล้วกลับมาใหม่ ขบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายหัวละ 3,000 บาท ที่เรียกขบวนการนี้ว่า Visa Run คือเข้าออกเวียนเทียนวีซ่า ข้อมูลที่หน่วยงานรัฐให้ในกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจประเมินว่า มีคนจีนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ 2-3 หมื่นคน
นอกจากนี้วงการอสังหาริมทรัพย์ คนในวงการระบุว่า กำลังเจอปัญหา ‘อสังหาฯ ศูนย์เหรียญ’ คือการที่ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจสร้างบ้าน แต่ขนวัสดุทุกอย่างเข้ามาเองทั้งหมด ไม่นับคนงานที่ใช้คนงานสัญชาติประเทศตัวเอง ซึ่งต้องตั้งคำถามว่า บ้านหนึ่งหลังประโยชน์ตกกับเศรษฐกิจไทยกี่บาท โดยปัจจุบันผู้ประกอบการระบุว่ายิ่งแย่ เพราะผู้ประกอบการต่างชาติใช้ระบบน็อกดาวน์ และความจำเป็นในการใช้วัสดุในประเทศยิ่งน้อยลง
“ถ้าในร้าน ในโรงงาน ใช้แต่คนงานต่างชาติ สุดท้ายมีอะไรตกถึงเราบ้าง เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์อะไร ตอบได้ว่าเป็นศูนย์ ตรงกันข้ามกับพวกเขาที่หากำไรแบบผิดๆ ในประเทศเราทุกวัน”
หลังจากนี้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ นายกฯ กำลังปล่อยให้คนต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดิน ประเทศไทยกำลังสูญเสียทรัพยากรที่มีจำกัด โดยล่าสุดพบว่า ทุนเทาเหล่านี้มีการครอบครองที่ดินหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งบริษัทนอมินีมาซื้อที่ดิน หรือเปลี่ยนประธานมูลนิธิจากคนไทยเป็นคนจีน โดยมีสินทรัพย์ อาคารบ้านเรือน รวมถึงที่ดิน ซึ่งได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าโอนและค่าภาษีอะไร ในขณะที่คนไทยไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน ประชาชนโดนรัฐฟ้องร้องไล่ที่ รัฐบาลปล่อยปละละเลยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้จึงสรุปว่า นายกฯ ปล่อยปละละเลยอย่างร้ายแรง ทำร้ายเศรษฐกิจไทยแบบไม่มีวันหวนกลับ เปลี่ยนประเทศไทยเป็น ‘ดินแดนศูนย์เหรียญ’ ทำลายทั้งงาน ธุรกิจ และชุมชน อย่างสมบูรณ์แบบ จึงไม่อาจไว้วางใจให้แพทองธารบริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป
Tags: พรรคประชาชน