ชีวิตเด็กในค่ายผู้ลี้ภัยโรฮีนจากำลังวิกฤตหนัก เมื่องบประมาณความช่วยเหลือจากต่างประเทศหยุดชะงัก ขณะที่อัตราการค้ามนุษย์และบังคับเด็กผู้หญิงแต่งงานกำลังเพิ่มมากขึ้น
นับตั้งแต่กองทัพทหารเมียนมาเริ่มต้นขับไล่และกวาดล้างชนกลุ่มน้อยโรฮีนจาออกจากประเทศ ในปี 2017 ค่ายผู้ลี้ภัยเมืองค็อกซ์บาซาร์ (Cox’s Bazar) ทางตอนใต้ของบังกลาเทศ กลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้ลี้ภัยมากกว่า 1.2 ล้านคน
ชาวโรฮีนจาไม่สามารถเดินทางออกนอกค่าย เพื่อหางานในบังลาเทศได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงแค่รอความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากนานาประเทศเท่านั้น ดังนั้นความช่วยเหลือนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ ‘การสนับสนุน’ แต่เปรียบเสมือน ‘ปัจจัยหลัก’ เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้
ทว่าภายหลังที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 ฝันร้ายของชาวโรฮีนจาก็เริ่มต้นขึ้น
ทรัมป์มีคำสั่งระงับการทำงานของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) และตัดงบช่วยเหลือต่างชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่าหน่วยงานข้างต้นสร้างความสิ้นเปลืองให้กับสหรัฐฯ แม้ว่างบประมาณก้อนนี้จะมีสัดส่วนเพียงแค่ 1% จากงบประมาณทั้งหมดก็ตาม
มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่มีใครเสียชีวิตจากการระงับหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา แต่ข้อมูลจากนิตยสาร Lancet ระบุว่า การตัดงบประมาณความช่วยเหลือต่างชาติของสหรัฐฯ อาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 14 ล้านคน
เช่นเดียวกันกับชีวิตของผู้ลี้ภัยโรฮีนจาในบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กจำนวนมากกว่า 6 แสนคน ซึ่งกำลังวิกฤตหนัก เนื่องจาก สหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนหลัก ตัดงบประมาณช่วยเหลือค่ายผู้ลี้ภัยเมืองค็อกซ์บาซาร์มากกว่าครึ่งหนึ่งจากทุนช่วยเหลือทั้งหมด และอาจจะเลวร้ายลงกว่าเดิมในอนาคตข้างหน้า
ข้อมูลจากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ซึ่งก็ถูกสหรัฐฯ ตัดงบประมาณด้วยเช่นกัน ระบุว่า โรงเรียนมากกว่า 2,800 แห่งในค่ายผู้ลี้ภัยถูกสั่งปิดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รวมไปถึงโครงการดูแลสุขอนามัยและโภชนาการเพื่อเด็กด้วยเช่นกัน
พื้นที่โรงเรียนไร้เงาเด็กเล็ก ขณะที่งานแต่งงานในค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเหล่าผู้ปกครองส่งลูกสาวออกจากบ้านไปแต่งงาน เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัว รวมถึงขายลูกสาวเพื่อค้าประเวณี
ฝันร้ายของเด็กผู้หญิง
ฮาซินา (Hasina) เด็กสาววัย 16 ปี ผู้มีความฝันอยากเป็นคุณครู เปิดเผยกับสำนักข่าว AP ว่า เธอถูกบังคับให้แต่งงานทันทีที่โรงเรียนถูกสั่งปิด หลังจากนั้นสามีของเธอก็กักขังไม่ให้ออกไปข้างนอกหรือพบกับครอบครัว อีกทั้งยังล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายเธออย่างหนัก
“ถ้าโรงเรียนไม่ถูกสั่งปิด ชีวิตของฉันจะไม่พังเช่นนี้” เธอกล่าว
ฮาซินาเล่าว่า พื้นที่ปลอดภัยและความสุขของเธอคือโรงเรียน แต่กิจวัตรประจำวันของเธอในตอนนี้ วนเวียนอยู่กับแค่การทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน และถูกสามีทำร้ายร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้าหนีได้ แน่นอนว่าฉันจะหนี แต่ฉันคิดไม่ออก ถ้ากลับเมียนมา ฉันคงถูกฆ่า” ฮาซินากล่าว
ชะตากรรมของเด็กผู้ชาย
ในขณะที่ชะตากรรมเด็กผู้ชายในค่ายผู้ลี้ภัย ถูกบังคับไปเป็นแรงงาน อีกทั้งสำนักข่าว AP ยังพบรายงานการสรรหาเด็กเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ เพื่อรบกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่บริเวณชายแดนเมียนมา-บังกลาเทศ
บางส่วนถูกลักพาตัวเพื่อค้ามนุษย์ในประเทศต่างๆ โดยข้อมูลจาก UNICEF เปิดเผยว่า รายงานการลักพาตัวเด็กเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าจากปี 2024 ในช่วงเดือนมกราคม ถึง กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
โมฮัมเหม็ด อัรฟาน (Mohammed Arfan) เด็กชายวัย 10 ขวบ ผู้ชื่นชอบในวิชาภาษาอังกฤษ บอกกับสำนักข่าว AP ว่า เขาร้องไห้อย่างหนัก ทันทีที่โรงเรียนประกาศปิด เพราะงบประมาณไม่พอ เขารู้สึกว่าชีวิตกำลังจะพัง
หลังโรงเรียนประกาศปิด แม่ของอัรฟานบอกกับเขาว่า เขาต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยพี่น้องทั้งหมด 7 คน ทำให้อัรฟานต้องออกจากบ้านมาขายขนมและเก็บขยะ แลกกับเงินราว 1.6-2.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 50-80 บาท) ต่อวัน เพื่อนำมาค้ำจุนครอบครัว
“ผมรู้สึกแย่มากที่ต้องมาทำงาน ทั้งที่จริงๆ แล้วผมควรจะได้เรียนหนังสือ
“ผมก็รู้สึกหวาดกลัวด้วย หากผมถูกลักพาตัวระหว่างทำงาน ผมตัวเล็กเกินไป และไม่สามารถต่อสู้พวกเขาได้แน่” อัรฟานกล่าว
ทางตันของคุณครู
นูร์ เซีย (Noor Zia) ครูใหญ่ของศูนย์การเรียนรู้เด็กเล็ก 3-5 ขวบ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า นักเรียนของเธอมักจะเดินทางมาโรงเรียน เพื่อสอบถามเธอว่า โรงเรียนจะกลับมาเปิดได้อีกครั้งหรือไม่
ไม่ใช่แค่เฉพาะความเจ็บปวดที่มาจากลูกศิษย์ แต่เธอยังเจ็บปวดเนื่องจากการปิดโรงเรียนทำให้อาชีพของเซียมาถึงทางตัน
“ครอบครัวของฉันอยู่ได้เพราะอาชีพนี้” เซียกล่าว
นอกเหนือจากการปิดโรงเรียน บริการด้านสุขภาพ โภชนาการ และสุขาภิบาลก็ถูกลดงบประมาณ จนกระทั่งเด็กในค่ายผู้ลี้ภัยต้องเผชิญกับภาวะอดยากและเสี่ยงโรคติดต่อต่างๆ
รานา ฟลาวเวอร์ (Rana Flowers) ตัวแทน UNICEF ในบังกลาเทศระบุว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 38 คน ต้องเข้าห้องฉุกเฉินทุกวันจากการขาดแคลนสารอาหารเฉียบพลัน และหากไม่ได้รับงบประมาณช่วยเหลือเพิ่มเติม จะมีเด็กที่ป่วยจนถึงแก่ชีวิตมากกว่า 7,000 คน
ท่าทีของสหรัฐฯ
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า สหรัฐฯ ได้มอบงบประมาณเพื่อช่วยเหลือชาวโรฮีนจามากกว่า 168 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6,000 ล้านบาท) นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่ง อีกทั้งสหรัฐฯ ยังช่วยเรียกร้องให้นานาประเทศให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมีทั้งหมด 11 ชาติที่ให้ความร่วมมือต่อคำร้องขอในครั้งนี้ และสามารถระดมทุนเพิ่มได้อีก 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2,560 ล้านบาท)
“รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เข้ามาช่วยแบกรับภาระตรงนี้” กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คำระบุข้างต้นไม่มีหลักฐานทางการทูตที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ กระตือรือร้น เพื่อพยายามให้ความช่วยเหลือกับเด็กโรฮีนจาอย่างที่ได้กล่าวไว้
ที่มา:
– https://theindependent.sg/aid-cuts-deepen-crisis-for-rohingya-children-in-bangladeshs-refugee-camps/
– https://news.un.org/en/story/2025/03/1160986
Tags: USAID, ForeignAid, ความช่วยเหลือต่างชาติ, ค้ามนุษย์เด็ก, ผู้ลี้ภัย, ล่วงละเมิดเด็ก, Rohingya, ทรัมป์, Us, แรงงานเด็ก, สหรัฐฯ, โรฮีนจา




