วันนี้ (29 มิถุนายน 2566) ที่วอยซ์ทีวี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า การปรึกษาหารือเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ เชื่อว่าจะมีข้อสรุปที่คุยกันแล้วจบลงได้ดี

“เราเองเป็นพรรคอันดับสอง เราเข้าใจตัวเราเองดี หลักของการเจรจา เราเคารพพรรคอันดับหนึ่งตลอดเวลา ข้อเสนอเวลาพูด เราใช้คำว่าเป็นข้อเสนอ เพื่อให้อันดับหนึ่งตลอดเวลา เราเคารพสิทธิท่านตลอดเวลา ไม่ใช่การยื้อแย่ง ไม่ใช่การบีบบังคับ แต่ละฝ่ายรู้สิทธิตัวเองดี เราเข้าใจว่าพรรคอันดับหนึ่งควรเป็นประธาน เราจึงขอเขาว่าขอเป็นอันดับสองได้ไหม เพื่อทำงานร่วมกัน เพื่อดุลยภาพในการทำงาน ไม่ใช่การยื้อแย่ง ไม่ใช่การหักหลังพี่น้องประชาชน เขาจะให้ไม่ให้เรา เราต้องการคำตอบเป็นทางการเท่านั้นเอง”

นายแพทย์ชลน่านกล่าวอีกว่า การเจรจามีหลักพื้นฐานเดียวกัน คือเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะ 25 ล้านเสียงที่ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย 141 เสียง และพรรคก้าวไกล 151 เสียง เพราะฉะนั้น 151+141 ถึงได้ 292 เสียง เป็นเสียงข้างมากเด็ดขาด เป็นตัวตั้งในการเจรจา และเป้าหมายสุดท้ายคือต้องการรัฐบาลที่มาจากฝ่ายประชาธิปไตย ฉะนั้น ถ้ายึดตรงนี้เป็นตัวตั้ง ก็มีข้อสรุปที่ดีแน่นอน

“สิทธิเป็นของพรรคอันดับหนึ่งเขา ถ้าเขายืนยันว่าเขาไม่ให้ เราเป็นพรรคอันดับสองก็ต้องพิจารณาว่า เราขอ เขาไม่ให้ ถ้าเขาไม่ให้ เราขอแล้วไม่ได้รับ เราจะพิจารณาอย่างไร แต่หลักการคืออยู่บนพื้นฐานของการเป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย”

หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังตอบคำถามสื่อมวลชนอีกว่า เพราะเหตุใดจึงยังไม่ได้เสนอชื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่าเป็น ‘ความระมัดระวัง’ เพราะการเสนอขอตำแหน่งโดยที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากพรรคก้าวไกล จะเปรียบเสมือนการแข่งขันกับพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยจะถูกประณามมากกว่านี้

“เราขอให้คุณอนุญาตให้เราหรือไม่ ขอว่าคุณจะให้เราหรือเปล่า ถ้าคุณยืนกรานไม่ให้ก็เป็นสิทธิของเขา ถ้าเขาไม่ได้ให้ เพื่อไทยในฐานะพรรคอันดับสองจะพิจารณาอย่างไร ในการร่วมทำงานกับเขา เราก็ต้องพิจารณาว่าจะทำงานกันแบบไหนต่อไป”

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ชลน่านยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตย และไม่สามารถออกจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลได้

“เราถูกมัดด้วยอาณัติของประชาชน แม้เราอยากออกไป แต่เราออกไปไม่ได้ เรามีสิทธิ์ด้วยนะที่จะออกไป แต่ไม่ชอบธรรม เราถูกพี่น้องประชาชน 25 ล้านเสียง มัดเรากับก้าวไกลให้ติดกัน เหมือนพ่อแม่เรา เราเป็นลูก เขาจับคลุมถุงชนให้ติดกัน เราไม่มีสิทธิปฏิเสธจริงๆ ทั้งหมด เจตจำนงพี่น้อง 25 ล้านคนสำคัญที่สุด เราคำนึงจุดนี้เป็นหลักในการพูดคุย เจรจา ทุกเรื่อง เมื่อก้าวไกลเขาไม่ให้ เราก็ต้องพิจารณาว่า ถ้าเขาไม่ให้ เราก็ไม่ควรจะต้องรับ”

Tags: ,