ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาขนส่งมวลชนอย่าง ‘แท็กซี่’ ดูจะกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ‘ขู่’ จะปิดสนามบินสุวรรณภูมิ หากรัฐบาลไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่อง Grab ที่แย่งฐานลูกค้าของพวกเขาไป

จากปัญหาที่เกิดขึ้น The Momentum ตัดสินใจลงพื้นที่สนามบินแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากเคยลงพื้นที่สำรวจปัญหาของท่าอากาศยานแห่งนี้ เช่น ป้ายบอกทาง จุดชมเครื่องบิน และพื้นที่สูบบุหรี่ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 

การลงสำรวจครั้งนี้จุดปักหลักของทีมช่างภาพ The Momentum อยู่บริเวณชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสาร บริเวณประตูทางออกที่ 4-8 ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับบริการแท็กซี่และจุด Grab Pick Up ของผู้โดยสาร 

บรรยากาศทั่วไปที่พบเห็นคือ เมื่อนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารแล้วจะเดินไปรอรถ Grab ในจุด Pick Up A และ B ที่ตามที่ตนได้เรียกไว้ ทำให้จุด Grab Pick Up แน่นขนัดไปด้วยนักเดินทางและรถยนต์

ต่างจากจุดบริการแท็กซี่สนามบินที่มีผู้โดยสาร ‘บางตา’ ซึ่งเป็นจริงตามหน้าข่าว ภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นภาพของรถแท็กซี่หลายร้อยคันจอดรอเข้าคิว เพื่อรอรับผู้โดยสาร แม้ต้องรออยู่นานพอสมควรถึงจะมีลูกค้าใช้บริการ

คุณประสิทธิ์ (นามสมมติ) คนขับแท็กซี่ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วัย 58 ปี เล่าใหัฟังว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวเดินทางมาน้อยลง ทำให้ลูกค้าน้อยลงตามไปด้วย อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่ผู้โดยสารหันไปใช้บริการ Grab เสียส่วนใหญ่ตามที่เป็นข่าว

“หลายคนบอกแท็กซี่ชอบเหมา มันไม่ได้เป็นทุกคนหรอกครับ เป็นบางคน ทุกอาชีพมีดีมีเสียหมด แท็กซี่ทำเสียไว้เยอะมันก็มี”

“แล้ว Grab ‘แย่งลูกค้า’ ไปเยอะหรือไม่” – เราถามต่อ 

ประสิทธิ์ให้คำตอบว่า ค่อนข้างเยอะ เพราะผู้โดยสารต่างชาติเมื่อเดินทางมาถึง ในอาคารผู้โดยสารจะมีเจ้าหน้าที่ของ Grab ยืนรอให้บริการ ช่วยโหลดกระเป๋าเดินทาง รวมทั้งพามายังจุดรอรถ

“แต่ของเรามันไม่มี เพราะเขา (ท่าอากาศยาน) ไม่ทำให้ไง เขาไม่ได้สนใจ อย่างที่ผมพูดนี่แหลว่า ผู้นำองค์กรเขาเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้เงินเขาก็ไม่สนใจ ลองจ่ายเงินดูสิ เขาก็บริการดีเหมือนกับ Grab แต่ทีนี้มันให้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะกฎหมายของกระทรวงคมนาคมระบุไว้ว่า ห้ามเก็บเงินจากแท็กซี่ที่วิ่ง”

ประสิทธิ์เล่าต่อว่า 1 วันจะวิ่งได้ 4-5 รอบหรือได้วันละ 1,000 บาท ก็ยังสามารถอยู่ได้ เพราะไม่มีหนี้ติดตัว แต่เพื่อนร่วมวงการหลายคนก็เลิกขับแท็กซี่ไปแล้ว เพราะไม่มีลูกค้าหรือวิ่งรถไปแล้วไม่คุ้มกับต้นทุน

ขณะที่ข้อเรียกร้องของเครือข่ายผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ที่ยื่นต่อกระทรวงคมนาคม ขอให้สนามบินสุวรรณภูมิยกเลิกจุดบริการ Grab คนขับแท็กซี่วัย 58 ปีกล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้โดยสารก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง เพราะ Grab ก็ถือเป็นทางเลือกของผู้โดยสาร

เมื่อถามต่อว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ประสิทธิ์หรือคนขับแท็กซี่รายอื่นไม่เข้าวิ่งรถกับ Grab เขากล่าวว่า “มัน (Grab) เอาเปรียบเกิน ถ้าคนวิ่งเขาจะรู้ว่ามันเอาเปรียบเกิน เขาหักเงินคนขับเยอะ อีกอย่างมันไม่ใช่ของไทยด้วยไง มันเป็นของต่างประเทศ

“อีกหน่อยนะ อาชีพพวกเราก็จะหายสาบสูญหมด อาชีพคนไทยดั้งเดิม เพราะอะไร เพราะเขาก็ให้ต่างชาติเข้ามาอย่างนี้ Grab มันเป็นของต่างชาตินะ เงินมันไม่ได้เข้าไทยเลยสักบาท” ประสิทธิ์ทิ้งท้าย

ในวันเดียวกัน The Momentum ยังเดินทางต่อไปเก็บภาพบริเวณจุดจอดแท็กซี่สนามบิน (Airport Taxi Park) ใกล้ๆ กับลานจอดรถระยะยาวโซน C (ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาคารผู้โดยสาร) และพบว่า มีจำนวนรถแท็กซี่จอดกลางแดดหลายพันคัน เพื่อต่อคิวรับผู้โดยสาร และจากการจอดรอรับผู้โดยสารที่ใช้เวลานานกว่าหลายชั่วโมง ทำให้คนขับบางรายนำผ้ามาคลุมกระจกหน้ารถ เพื่อป้องกันไอความร้อนเข้ามาในตัวรถ

คนขับบางรายถึงกับบ่นกับทีมช่างภาพของ The Momentum ว่า ตนเดินทางมารอรับผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ช่วงตี 5 ของวัน แต่ทั้งวันกลับวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารได้เพียง 2 รอบเท่านั้น

นอกจากนี้ The Momentum ยังพูดคุยกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีก 2 ฝ่าย ทั้งคนขับ Grab และผู้โดยสาร เพื่อรับฟังถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน 

โดยคุณฉัตรชัย (นามสมมติ) คนขับ Grab วัย 48 ปี บอกกับ The Momentum ทำนองเดียวกันว่า ช่วงนี้มีผู้โดยสารน้อยลง เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน ใน 1 วันสามารถวิ่งได้เพียง 4-5 รอบเท่านั้น จากสนามบินไปยังปลายทางอื่นๆ 

เมื่อสอบถามถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจนนำมาสู่การเรียกร้องของเครือข่ายแท็กซี่ ฉัตรชัยกล่าวอย่างเข้าใจว่า เป็นเพราะคิวแท็กซี่ที่ต่อรอรับผู้โดยสารมีเยอะกว่า 3,000 คิว พอเจอผู้โดยสารเดินทางไประยะใกล้ๆ เขาอาจรู้สึก ‘ผิดหวัง’ เพราะกว่าจะมีลูกค้าต้องรอนานถึง 3 ชั่วโมง แต่วิ่งรถระยะใกล้เท่านั้น

“เขาจะรู้สึกไม่คุ้มรอ แต่ถ้าเขาเจอฝรั่งไปพัทยา เขาก็จะดีใจมาก เพราะเขาได้ประมาณ 2,000 บาทเลย เขาก็จะโอเค แต่ถ้าเจอไปใกล้ๆ เขาจะไม่ชอบ เพราะเขารอนานมาก”

ทั้งนี้ฉัตรชัยก็เข้าใจตัวผู้โดยสารเองด้วยเช่นกันถึงปัญหา ‘ความไม่ได้มาตรฐาน’ ของแท็กซี่ โดยกล่าวว่า ปัญหาแท็กซี่เหมาราคาเป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะลูกค้าบางคนเดินทางไปปลายทางเดียวกัน แต่จ่ายราคาไม่เท่ากัน 

หรือจะเป็นปัญหา ‘ความปลอดภัย’ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ Grab มากกว่าแท็กซี่ โดยฉัตรชัยขยายความว่า ทุกวันนี้ผู้โดยสารไม่มีทางรู้ว่า คนขับแท็กซี่แต่ละคนขับมาแล้วกี่ชั่วโมง ได้พักผ่อนหรือไม่ ต่างจาก Grab ที่จะมีการกำหนดระยะเวลาการรับผู้โดยสาร 

“ยิ่งเขา (แท็กซี่) ขับรถนานขึ้นก็จะอันตราย แท็กซี่จะไม่มีใครรู้เลยว่าเขาขับไปไหน ไปรับใครมา ขับมากี่ชั่วโมงแล้ว จริงๆ ควรจะมีแอปพลิเคชันประจำตัวคนขับแต่ละคน ถ้าเป็น Grab คุณไม่ยอมนอน จะรับงานอย่างเดียว คุณเปิดเครื่องไว้ แต่เขา (Grab) ก็จะไม่ส่งงานมาเลย จนกว่าคุณจะพักครบ 5 ชั่วโมง ถ้าคุณไม่เบรก Grab ก็เบรกคุณอยู่ดี”

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เราพูดคุยกับฉัตรชัย The Momentum พบกับ ยลลดา (นามสมมติ) พนักงานบริษัทวัย 26 ปี ที่มารอรับเพื่อนจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังทองหล่อ โดยเธอบอกกับเราว่า การเดินทางวันนี้เธอได้เลือกใช้ บริการ Grab เพราะสามารถออก ‘ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์’ (E-Reciept) ไปเบิกกับบริษัทได้

พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่เลือกใช้บริการแท็กซี่คือ เจอประสบการณ์ถูกปฏิเสธเส้นทางและมิเตอร์ราคาที่ขึ้นเร็วผิดปกติ จึงทำให้เลือกใช้บริการ Grab ที่มีการระบุราคาชัดเจน อีกทั้งยังไม่ต้องบอกเส้นทางด้วยตนเองด้วย

“เราก็เคยเจอปัญหาความไม่ได้มาตรฐานของแท็กซี่มาบ้าง เราก็เรียก Grab ให้จบเลย สบายใจกว่า” ยลลดาบอกกับเรา

จากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของผู้โดยสารที่มีต่อแท็กซี่ไทย แต่หากสะท้อนไปถึงความไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานของรัฐ ทั้งกรมขนส่งทางบกเองก็ดี หรือการท่าอากาศยานก็ดี ที่จะต้องร่วมกันยุติปมปัญหานี้

แม้ว่าท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) มีการจัดเคาน์เตอร์ให้คำแนะนำบริการแท็กซี่กับผู้โดยสาร แต่ช่วงเวลาที่ The Momentum ไปนั้นกลับไม่พบเจ้าหน้าที่ประจำการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในจุดนั้น และต่อให้ผ่านไปอีกชั่วโมงก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ทอท.มานั่งประจำ

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เหตุใดหน่วยงานรัฐยังกลับไม่สามารถคลายปมที่ผู้โดยสารเจอ ปล่อยไปตามยถากรรม ซึ่งในท้ายที่สุดผลร้ายก็จะตกมาสู่แท็กซี่ที่ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างจริงใจ และอาจเลยเถิดจนสั่นคลอนภาพลักษณ์ของประเทศ ที่ชาวต่างชาติมีทันทีที่เท้าแตะที่พื้นสุวรรณภูมิเสียด้วยซ้ำ

Tags: , , , , , , , ,