เมื่อวานนี้ (25 มิถุนายน 2025) สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา (U.S. Customs and Border Protection: CBS) ปฏิเสธข้อกล่าวหากรณีไม่ให้นักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์เข้าประเทศ เพราะแชร์รูป เจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ หัวโล้น เผยไม่เกี่ยวกับเหตุผลทางการเมือง แต่เป็นเพราะใช้สารเสพติด
แมด มิกเกลเซน (Mad Mikkelsen) ชายชาวนอร์เวย์วัย 21 ปี ให้สัมภาษณ์กับ Nordlys สื่อท้องถิ่นว่า ตนถูกทางการสหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่าน ณ สนามบินนูอาร์ก ลิเบอร์ตี (Newark Liberty International Airport) มิกเกลเซนถูกเจ้าหน้าที่ ICE (Immigration and Customs Enforcement) กักตัวและซักถามเรื่องการขนยาเสพติด ก่อการร้าย หรือการทำพฤติกรรมเข้าข่ายกลุ่มหัวรุนแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
กระทั่งเจ้าหน้าที่พามิกเกลเซนไปยังห้องกักตัว ขอให้ถอดรองเท้า ทิ้งกระเป๋า รวมถึงปลดล็อกโทรศัพท์ให้ตรวจสอบ พร้อมยื่นคำขาดว่า หากไม่ทำตามจะถูกปรับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 แสนบาท) หรือจำคุกเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งปรากฏว่า พบรูปภาพ ‘ไปป์ไม้’ และมีม ‘แวนซ์หัวโล้น’ ล้อเลียนรองประธานาธิบดีที่โด่งดังในโลกออนไลน์ ขณะที่มิกเกลเซนพยายามสื่อสารว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่รูปที่อันตรายหรือเป็นพิษภัยกับใครแต่อย่างใด แต่ทางการสหรัฐฯ ก็เลือกที่จะส่งเขากลับบ้านเกิดของตนเอง
นักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์แสดงความรู้สึกว่า การไปเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นบาดแผลทางจิตใจและประสบการณ์ที่น่าอับอาย เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติกับเขาไม่ดี ทั้งค้นตัว รื้อของในกระเป๋า พิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจเลือด รวมถึงยังเข้าใจผิดว่า มาจากสเปน ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยไปประเทศนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม CBS ออกมาโพสต์ข้อความบนแอ็กเคานต์ทางการบน X พร้อมกับแนบข่าวดังกล่าวจาก Daily Mail ที่มีรูปของนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์กับมีมแวนซ์หัวล้านว่า นี่คือข่าวปลอม สาเหตุที่มิลเกลสันเข้าประเทศไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมีมหรือเหตุผลทางการเมือง แต่เขายอมรับเองว่า ใช้สารเสพติด
ขณะที่ ทรีเซีย แม็กคาฟลิน (Tricia McLaughlin) โฆษกกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ (Department of Homeland Security) ซึ่งควบคุมการทำงานของ ICE โพสต์ข้อความในทำนองเดียวกับ CBS ว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเท็จ
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นภาพสะท้อนนโยบายอันแข็งกร้าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านผู้อพยพและการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แจ้งเงื่อนไขผู้สมัครวีซ่านักเรียนว่า ต้องตั้งค่าโซเชียลมีเดียเป็นสาธารณะเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่ง The Guardian รายงานว่า มาตรการข้างต้นเป็นนโยบายของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อคุ้มครองภัยก่อการร้ายต่อประเทศ โดยมุ่งเป้าไปที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองสนับสนุนปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาส
ทั้งนี้ TIME คาดการณ์ว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้สหรัฐฯ สูญเสียมูลค่าการท่องเที่ยวทางเศรษฐกิจถึง 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท) เพราะด้วยกฎเข้มงวดและความไม่แน่นอน ทำให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงที่จะไม่เดินทางไปสหรัฐฯ
สำหรับมีมแวนซ์ถือเป็น Pop Culture ทางการเมือง และสัญญะต่อต้านรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดย อดัม คินซิงเกอร์ (Adam Kinzinger) อดีตสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกัน (Republican Party) และไบรอัน คราสเซนสไตน์ (Brian Krassenstein) แอ็กทิวิสต์กลุ่ม #Resistance เป็นผู้ริเริ่มเผยแพร่ภาพตลกขบขันดังกล่าว
จุดเริ่มต้นของมีมแวนซ์มาจากเหตุการณ์ปะทะคารมระหว่างทรัมป์กับ โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodomyr Zelensky) ประธานาธิบดียูเครน กลางห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งแวนซ์ถูกจับตามองจากการบังคับให้เซเลนสกีพูดขอบคุณทรัมป์ ขณะที่ชาวเน็ตมองว่า รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังทำพฤติกรรมเหมือนเด็กที่ไม่ประสีประสา
“นายเคยพูดขอบคุณทรัมป์สักครั้งไหม” แวนซ์กล่าว
ปัจจุบันอาณาจักรมีมตลกของผู้นำเบอร์สองของสหรัฐฯ ได้ขยายตัวเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดแค่ภาพหัวโล้น แต่ยังรวมถึงภาพแวนซ์ไก่นักเก็ต ภาพแวนซ์จ้ำม่ำใส่หมวกถืออมยิ้ม ภาพระเบิดนิวเคลียร์แวนซ์ในหนังสือการ์ตูน อากิระ คนไม่ใช่คน (1988) ไปจนถึงภาพ Jesus แวนซ์
อ้างอิง
https://time.com/7297472/jd-vance-meme-mads-mikkelsen-tourist-denied-entry-cbp-ice/
https://www.forbes.com/sites/danidiplacido/2025/03/08/how-jd-vance-edit-memes-broke-the-internet/
Tags: การเมือง, สหรัฐอเมริกา, โดนัลด์ ทรัมป์, pop culture, มีม, สหรัฐฯ, Meme, เจ. ดี. แวนซ์