ที่ผ่านมา อนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านเส้นทางชีวิตอย่างโลดโผน

จากเด็กที่เกิดในครอบครัวฐานะยากจน อยู่กับพระ เป็นเด็กวัดเพื่อให้เข้าถึงการศึกษา ขี่สามล้อรับจ้าง เฝ้าโรงงานเพื่อเลี้ยงตัวเองในเมืองหลวง แต่วันนี้เขาเป็นข้าราชการระดับสูง เป็นปลัดกระทรวง พม. และวางแผนใช้เรื่องของตัวเองเป็นแรงบันดาลใจเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม และส่งมอบโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสเหมือนตัวเองในอดีต

“ผมมาจากครอบครัวที่แร้นแค้น ผมเป็นเด็กจังหวัดสงขลา อาศัยข้าวก้นบาตรเพื่อประทังชีวิตและเรียนหนังสือ ช่วงที่เรียนในระดับมัธยมที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ ผมขับสามล้อรับจ้างเพื่อจะได้มีค่าขนมไปโรงเรียน สมัยมหาวิทยาลัย ผมเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระหว่างที่เรียนก็รับจ้างเป็น รปภ.ตามโรงงาน หมู่บ้านจัดสรรรอบนอกกรุงเทพฯ 4 ปี พอเรียนจบก็ตั้งใจจะรับราชการ บรรจุที่แรกที่กรมประชาสงเคราะห์” ปลัด พม.เล่าย้อนถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง

จากนั้น เขาก็ผ่านสมรภูมิในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานคลุกคลีกับกลุ่มชาติพันธุ์ คลุกคลีกับคนชายขอบที่จังหวัดเชียงใหม่ แก้ปัญหาเด็กถูกทารุณกรรมและผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรี เผชิญหน้ากับดินแดนแห่งความยากจนที่จังหวัดอำนาจเจริญ รวมถึงอยู่ในจังหวัดที่มีปัญหาประชากรกระจุกตัวมากที่สุด ในประเทศอย่างจังหวัดสมุทรปราการ

อนุกูลมองว่าปรากฏการณ์สำคัญที่สุดในวันนี้คือสังคมไทยเปราะบางมาก สถาบันที่เล็กที่สุดของสังคมอย่างสถาบันครอบครัวนั้นอ่อนแอถึงขีดสุด หลายครอบครัวมิอาจคงสภาพ ‘ครอบครัว’ ได้อีกต่อไป ด้วยขาดองค์ประกอบที่สำคัญอย่าง ‘เวลา’ ที่ถูกพรากด้วยปัจจัยสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากขึ้น

“ปัญหาสังคมในอดีตไม่ได้รุนแรงอย่างในปัจจุบัน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเชื่อมโลกด้วยเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเปรียบเทียบชีวิตความเป็นอยู่ คนหนุ่มสาวย้ายถิ่นฐานในการทำงานออกจากชุมชน ทั้งชั่วคราวและถาวรมากขึ้น การแสวงหาอาชีพมีความเข้มข้นขึ้น การแก่งแย่งทรัพยากรรุนแรงขึ้น เหลือเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้เปราะบางทางสังคมอยู่ตามลำพัง 

“ขณะที่เหตุการณ์ในอีกฟากของมุมโลกก็ส่งผลกระทบคนอีกฟากโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย ส่งผลต่อราคาน้ำมันของชาวบ้านที่ยโสธร ยังไม่นับรวมถึงโรคระบาด ภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เกิด ‘ช่องว่าง’ ของการพัฒนา ส่งผลให้พื้นที่ของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสแคบลง” 

อนุกูลกล่าวว่า ด้วยภารกิจของกระทรวง พม.มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 24 ฉบับ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546, พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559, พ.ร.บ.การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 โดยกำหนดให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสและการคุ้มครองทางสังคม มีความมั่นคงในชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 4 พันธกิจ ได้แก่ 

1. เสริมสร้างศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว

2. เสริมสร้างโอกาสและการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม เช่น ดูแลเด็กในครอบครัวยากจน ให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

3. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เนื่องจากปัญหาสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น

4. ยกระดับองค์กรให้มีผลสัมฤทธิ์สูงด้วยธรรมาภิบาลและเทคโนโลยีดิจิทัล

ขณะเดียวกัน กระทรวง พม.ยังมีหน้าที่ส่งเสริมสิทธิให้สอดรับกับพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ปฏิญญาและแผนปฏิบัติการปักกิ่ง เพื่อความก้าวหน้าของสตรี รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติ เช่น UNICEF และ UN Women

ขณะเดียวกัน ด้วยการทำงานของ พม.จำเป็นต้องคลุกคลีกับประชากรกลุ่มเปราะบางถึง 80% ดังนั้น เทคโนโลยีดิจิทัลจึงส่งผลต่อกลุ่มเป้าหมายทั้งคุณประโยชน์และโทษ เดิมที การเข้าถึงสิทธิและข้อมูลข่าวสารของกลุ่มเปราะบางถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง โดยในอดีต คนกลุ่มนี้มักถูกละเลยและเข้าไม่ถึงข้อมูล ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ พม.สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การเข้าถึงที่ง่ายขึ้นย่อมหมายถึง ‘ความเสี่ยง’ ที่ใกล้ตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการถูกเอารัดเอาเปรียบจากมิจฉาชีพตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ ไปจนกระทั่งการถูกหลอกลวงค้ามนุษย์ออนไลน์ 

ทว่าในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 หากไม่มีเทคโนโลยีดิจิทัลที่ภาครัฐใช้ผ่านโครงการ ‘เราชนะ’ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบแล้ว พม.จะต้องใช้เวลาเยอะมากในการส่งเงินเข้าถึงผู้ต้องการ ซึ่งอาจใช้เวลานานนับเดือน แต่ ‘เราชนะ’ กลับร่นเวลาช่วยเหลือให้ได้ทันท่วงที

“เทคโนโลยีดิจิทัลจึงมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มการเข้าถึงสิทธิกลุ่มเปราะบาง หากออกแบบให้เข้ากับลักษณะที่เหมาะสมกับกลุ่มนั้นๆ ลดช่องว่างในการดูแล แต่ถ้าใช้ในทางที่ผิดแล้ว โทษก็มหันต์เช่นกัน ดังนั้น ตัวกรองเชิงนโยบายและการรู้เท่าทันเทคโนโลยีจึงเป็นประเด็นสำคัญในการแก้ปัญหาในอนาคตต่อไป”

เปลี่ยนโมเดลสังคมสงเคราะห์สู่การพัฒนาสังคม

จากประสบการณ์ในการทำงานด้านสังคมมากว่าสามทศวรรษ ปลัดอนุกูลบอกว่า หากจะแก้ปัญหาสังคมได้อย่างยั่งยืน ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดการช่วยเหลือจาก ‘สังคมสงเคราะห์’ สู่ ‘การพัฒนาสังคม’ ส่งมอบอาวุธทางปัญญาให้เป็นโอกาสในการดำเนินชีวิต

“ท่ามกลางปัญหาสังคมที่ซับซ้อน ภาครัฐเพียงลำพังไม่อาจแก้ไขได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดของระบบราชการ อีกทั้งงานด้านสังคมนั้นมีความละเอียดอ่อน เป็นสหวิทยาการที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญจากหลายศาสตร์มาประกอบกัน ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนสังคมจึงทวีบทบาทขึ้นมาก” 

ที่ผ่านมา พม.ได้เปลี่ยนโมเดลความช่วยเหลือสู่การพัฒนาสังคม เช่น โครงการเน็ตทำกิน ภายใต้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความรู้การใช้เทคโนโลยีในการสร้างรายได้ แก่กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และน่าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่แท้จริง ผ่านการสร้างอาชีพและรายได้ และการขายของออนไลน์ก็ถือเป็นอีกวิธีสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต จากเดิมต้องขึ้นลงเขาไปขายของที่ไม่รู้ว่าจะได้กำไรหรือไม่ พัฒนามาเป็นการขายสินค้าเชิงอัตลักษณ์และวัฒนธรรม มีเรื่องราว ซึ่งถือเป็นเสน่ห์และความก้าวหน้าของกลุ่มชาติพันธุ์

นอกจากนี้ คนในสังคมจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองให้มีจิตสาธารณะมากขึ้น เพราะปัจจุบัน คนมองในมิติปัจเจกบุคคลเป็นใหญ่ 

“ผมสอนลูกๆ เสมอว่า หากมีขนมหนึ่งชิ้น รีบแบ่งให้เพื่อนเลย เดี๋ยวพ่อหาใหม่ให้ เพื่อให้ลูกไม่ต้องลังเลว่าการแบ่งปันคืออะไร” ปลัดอนุกูลเล่า 

ปลัดอนุกูลยังคงเชื่อมั่นว่า ในความโอบอ้อมอารีของความเป็นมนุษย์ที่จะช่วยกันพยุงสังคมให้ดีขึ้น และศักยภาพของทุกคนในการเป็นนักสวัสดิการ ที่ร่วมกันดูแลและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่เพื่อนร่วมสังคม เพื่อลดช่องว่างระหว่างกัน และยกระดับศักดิ์ศรีความมั่นคงของมนุษย์สืบไป

Tags: , ,