วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 11.45 น. ในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 วันที่ 2 อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เริ่มอภิปรายรัฐบาลและ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในแง่ความล้มเหลวของนโยบายความมั่นคงที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้ารัฐบาล และตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ลมปากที่เลื่อนลอยล้มเหลว สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างไรบ้าง
“ความแตกแยกในหมู่ประชาชนขณะที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลุกลามบานปลาย ไปจนถึงเกิดวิกฤตศรัทธาต่อสถาบันหลักของชาติทุกสถาบัน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นหน่วยงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปราบคอมมิวนิสต์เมื่อ 50-60 ปีก่อน มองประชาชนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มองว่าไม่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถูกจับขัง จับฆ่า เช่น เหตุการณ์ถีบลงเขา เผาลงถังแดง และเหตุการณ์เผาหมู่บ้านนาทรายปี 2517 ที่มีคนเสียชีวิตหลายพันคน จึงขอให้ยุบ กอ.รมน. ทิ้ง
“สิ่งที่ทำให้ประเทศเราแตกต่างจากประเทศอื่นที่ปกครองแบบประชาธิปไตย คือเรามีทหารเป็นผู้เล่นหลักอยู่ในทุกสนาม เหมาะสมเบ็ดเสร็จ ดูแลความมั่นคงภายนอกและภายใน ทำทุกเรื่องตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แต่เรือรบของเราเจอคลื่นลมก็จมลงอย่างน่าอับอาย”
อมรัตน์ระบุว่ากองทัพแทรกแซงการเมืองโดยใช้ กอ.รมน. มีลักษณะเป็นรัฐซ้อนรัฐอย่างเป็นรูปแบบ หลังจบสงครามกับคอมมิวนิสต์ องค์กรนี้แทบไม่มีภารกิจเหลืออยู่เลย แต่ยังดำรงอยู่ได้ เพราะกองทัพใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคมและประชาชน
หลังการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง มีการเพิ่มบทบาทอำนาจให้ กอ.รมน. อย่างยิ่งใหญ่ การรัฐประหารปี 2549 เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง กอ.รมน. เพราะโดยปกติมีนายกรัฐมนตรีสั่งการไปยังรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ส่วนราชการต่างๆ และไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ทำให้โครงสร้างมีความผิดปกติออกไป เกิดการทับซ้อนของโครงสร้างบริหารราชการแผ่นดิน มีการให้นายกรัฐมนตรี นั่งตำแหน่งผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เอาผู้บัญชาการทหารบกนั่งเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. และเอาแม่ทัพภาคเป็น เลขาธิการ กอ.รมน.
“เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีการยกระดับ กอ.รมน. ในภูมิภาคและจังหวัด มีสำนักงานประจำอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด เป็นโครงสร้างทับซ้อนการบริหารราชการแผ่นดินแบบปกติ โครงสร้างของ กอ.รมน. มีตำรวจ พลเรือน ปะปนบ้างเล็กน้อย เพื่อเป็นข้ออ้างว่ามีการบูรณาการแล้ว ซึ่งดิฉันได้ทราบว่าตำรวจมีความอึดอัดมาที่จะต้องนั่งอยู่ปลายแถว และพยายามเอาตัวเองออกจากโครงสร้างนี้แต่ยังไม่สำเร็จ
“พลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจที่ล้นเหลือ และการตีความภัยความมั่นคง ขยายขอบเขตครอบคลุมทุกเรื่องที่ไม่ใช่กิจของทหาร ท่องเที่ยว กีฬา รักษาป่า รักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเห็นต่างทางการเมือง ที่เรียกว่าเข้าไป ‘ส’ ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตน
“ถ้าจะให้กระทรวงสาธารณสุขส่งเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้ามาล้างสมองกับ กอ.รมน. ก็ใช้งบฯ ของกระทรวงสาธารณสุข หรือให้กระทรวงศึกษาธิการนำเด็กตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เข้าอบรม ก็ใช้งบฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ ถึงจะมีกำลังพล มีงบประมาณให้ใช้อย่างอิ่มหมีพีมัน แต่หน้าที่หลักของ กอ.รมน. คือการดับไฟใต้ 3 จังหวัด แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่เคยเบาบางลง
“งบ กอ.รมน. ปีหนึ่งเกือบหมื่นล้านบาท หมดไปกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ อาจมีข้าราชการจริงแค่ 1,200 คน แต่มีอำนาจสั่งตำรวจ ทหาร ข้าราชการพลเรือนเข้ามาช่วยงานได้อย่างไม่จำกัด จนตอนนี้มีกว่า 5 หมื่นคนแล้ว ไม่นานนี้ก็กรณีเมียน้อย ส.ว. ไปกินเบี้ยเลี้ยง กินเงินเพิ่มพิเศษสามชายแดนใต้ แต่ตัวอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
“ด้านการแก้ปัญหาชายแดนใต้ที่ควรจะเป็นเรื่องที่ กอ.รมน. ถนัดที่สุด เพราะได้งบฯ เยอะที่สุด มีกำลังพลมากที่สุด แต่สิ่งที่พี่น้องสามจังหวัดชายแดนใต้ได้รับ คือการให้ข่าวปลอม เพื่อสร้างความเกลียดชังแตกแยก เช่น การทำเว็บไซต์ Pulony สร้างข่าวปลอมโจมตีกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน”
อมรัตน์กล่าวต่อว่าหลังการรัฐประหารทุกครั้งมีการเพิ่มเติมอำนาจให้ กอ.รมน. เห็นได้จากการรัฐประหารปี 2549 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง กอ.รมน. มี กอ.รมน. ระดับภาค กอ.รมน. ระดับจังหวัด และเมื่อรัฐประหารปี 2557 เดือนแรกมีการปรับโครงสร้างซ้ำ ปรับปรุง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ พ.ศ. 2551 อีกครั้ง โดยดึงอัยการจังหวัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างนี้ด้วย แล้วมีทหารนั่งหัวโต๊ะ เป็นผู้บัญชาการภาคของ กอ.รมน. อมรัตน์จึงตั้งคำถามว่าแล้วแบบนี้จะให้เชื่อความเป็นอิสระของอัยการได้อย่างไร
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือโครงสร้างแบบรัฐซ้อนรัฐ ส่งผลระยะยาวกับเราตลอดไป ถ้าไม่มีการแก้ไข แม้ว่าวันข้างหน้าเราจะมีนายกฯ ที่เป็นพลเรือนแล้วก็ตาม แต่โครงสร้างที่ถูกกองทัพครอบเอาไว้จะตามหลอกหลอนเราไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากตอนที่ทหารยึดอำนาจสามารถพูดได้ ณ ตอนนี้เลยว่า กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่เป็นอันตรายที่สุดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย”
เธอยังระบุอีกว่า 1 เดือนแรกหลังพลเอกประยุทธ์ทำรัฐประหาร ได้ให้ กอ.รมน. ทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ทวงคืนผืนป่า ทำให้ชาวบ้านถูกดำเนินคดีกว่า 4 หมื่นคดี ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ชาวสวนยางปลูกต้นยางใกล้จะถึงเวลากรีดยาง กลับถูกเผาไล่ที่โดยไม่จ่ายเงินชดเชยเยียวยา กลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ด้วยวิธีคิดแบบทหารที่มองคนเป็นศัตรู
นอกจากนี้ 1 ปีก่อนการเลือกตั้งปี 2562 มีการใช้งบประมาณ กอ.รมน. จัดชุดวิทยากรจำนวน 100 ชุด ตระเวนไปในหมู่บ้านกว่า 8.3 หมื่นหมู่บ้าน เพื่ออบรมล้างสมองให้ชาวบ้านรับแนวคิดประชาธิปไตยแบบไทยๆ ให้รังเกียจต่อต้านแนวคิดประชาธิปไตยแบบสากล อบรมให้เลือก ‘คนดี’ อย่างพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่การเลือกตั้งก็แพ้อยูดี เพราะชาวบ้านรู้ทัน ล้างสมองได้ไม่หมด สุดท้ายต้องไปเอา 250 ส.ว. ช่วยให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ
“ตัวอย่างการผลาญงบฯ กอ.รมน. อยู่ดีๆ เอางบประมาณ 20 ล้านบาท จัดคอนเสิร์ตที่ห้างพารากอน ดูสภาพคนดู ผมทรงเดียวกันหมดเลย ขาวสามด้าน ทำไมไม่จัดในค่ายทหารไปเสียเลยจะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน จัดแบบนี้คนได้ประโยชน์มีแค่เจ้าของห้างและผู้จัดงานเท่านั้น
“ยังเห็นภาพพลเอกประยุทธ์สะอื้นตอนดูคอนเสิร์ตด้วยความซาบซึ้งยินดีได้อยู่เลย ดิฉันก็ร้องไห้เหมือนกัน ร้องไห้เสียดายเงินค่ะท่านประธาน”
อีกประเด็นหนึ่งคือ กอ.รมน. กับการศึกษา อมรัตน์ระบุว่า กอ.รมน. เข้าไปยุ่งกับเด็กนักเรียน ขยายภารกิจของตัวเองเข้าไปแทรกซึมการอบรมในโรงเรียน ผ่านโครงการเยาวชนต้านภัยยาเสพติด เอาเด็กเดินขบวนถือป้าย ตากเดินร้อนๆ แล้วมีทหารยืนคุม ที่ต้องตั้งคำถามว่าแก้ปัญหายาเสพติดอย่างไร นอกจากนี้ยังเข้าไปตรวจสอบนักเรียนชูสามนิ้วถึงในโรงเรียน
“ตอนนี้จนตรอกจนต้องหาภัยความมั่นคงถึงในโรงเรียนแล้วเหรอ แถม กอ.รมน. ยังสถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ มันคือหน้าที่ของทหารจริงๆ เหรอ เก่งไปทุกเรื่อง ถ้าท่านแสนรู้ขนาดนี้จริงๆ คงไม่ลากให้ประเทศของเราไปติดกับดัก 8 ปี แปดเปื้อนอย่างทุกวันนี้
“มีการบุกไปถึงร้านเกม เด็กๆ กำลังเล่นบอร์ดเกมก็เข้าไปยุ่ง ไประแวง ชายชาติทหารแท้ๆ สู้รบกับเด็กในร้านเกม เป็นภาพที่ทนเห็นไม่ได้จริงๆ ถ้าท่านขยันได้สักครึ่งหนึ่งของการจับเด็ก บุกโรงเรียน แล้วหันไปจับยาบ้า ค้าของเถื่อน ค้ามนุษย์ ค้ายา นายพลตำรวจน้ำดีอย่าง พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ คงไม่ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ล่าสุดวันดีคืนดีเอาทหาร 3-4 พันนายไปรำมวย ขอถามว่าว่างมากเหรอ จริงๆ เอาทหาร 3-4 คน ไปรำก็ได้สถิติ เพราะไม่มีใครแข่งกับเราในเรื่องแบบนี้”
“ไม่เพียงเท่านี้ กอ.รมน. ยังฟื้นการจัดตั้งมวลชนเหมือนที่เคยทำสมัยสงครามเย็น ยุคขวาพิฆาตซ้าย ให้มวลชนช่วยเป็นแขนขาให้ กอ.รมน. เช่น ไทยอาสาป้องกันชาติที่มีมากกว่า 2 แสนคน สอดส่องหาศัตรูในชาติแบบแนวคิดทหาร มีหลักสูตรยิบย่อยล้างสมองเด็กๆ”
อมรัตน์สรุปว่างานของ กอ.รมน. คืองานสร้างอารมณ์ความรู้สึก สร้างความเข้าใจผิด ความเกลียดชัง ให้ประชาชนเห็นว่ามีศัตรูอยู่ในประเทศ เอาคนกลุ่มหนึ่งมาต่อต้านคนอีกกลุ่ม สร้างความขัดแย้งให้ประชาชนกันเอง ทั้งหมดเพื่อรักษาอำนาจของกองทัพ
เธอยังได้ยกตัวอย่างที่เธอคิดว่าเห็นภาพชัดมากที่สุด คือการที่พลเอกประยุทธ์ส่งหนังสือถึงราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2555 ตอนนั้นพลเอกประยุทธ์เป็นผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. หนังสือนั้นมีใจความว่าจะรื้อฟื้นการจัดตั้งกิจกรรมภัยอาสาป้องกันชาติ ให้เป็นมวลชนหลักในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เห็นได้ชัดว่าหากินกับการปั่นหัวให้ประชาชนเข้าใจผิด มีคนบางกลุ่มพยายามดึงเอาสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นทางการเมือง ชี้หน้าคนนั้นคนนี้ว่าไม่จงรักภักดี เพื่อกำจัดออกจากการเมือง ไล่ออกนอกประเทศ หนักเข้าก็อ้างว่าต้องปกป้องสถาบันฯ แล้วทำรัฐประหาร
“หากทหารมีความเข้าใจประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พลเอกประยุทธ์ในขณะนั้นคงไม่ทำหนังสือนี้เรียนขึ้นไป เอามาเป็นเงื่อนไขในการสร้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกันเอง
“ทั้งหมดสะท้อนว่านโยบายด้านความมั่นคงของพลเอกประยุทธ์ ยิ่งทำยิ่งสร้างปัญหา การยืนอยู่บนวิธีคิดแบบทหารที่ผิดยุคสมัย ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ทำให้เกิดขบวนการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่เพื่อขับไล่ทรราช แล้วเกิดข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ
“นอกจากพลเอกประยุทธ์จะไม่เคยออกมารับฟัง กลับทำในสิ่งตรงข้าม ใช้ความรุนแรงตลอดเวลา ใช้ศาลทหาร ใช้คุก ใช้ตะราง และกฎหมายความมั่นคงทุกฉบับ จัดการกับเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ ที่เพียงออกมาตั้งคำถาม ตอบแทนพวกเขาด้วยความรุนแรงต่อเนื่องตลอดมา ควบคุม คุกคาม ปราบปรามด้วยกระสุนยาง และยัดเยียดคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเครื่องมือที่ลุแก่อำนาจ โดยไม่แคร์สายตาชาวโลก
“รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ต้องดำเนินการโดยมีที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ความมั่นคงของประชาชนคือความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของทรราช”
สำหรับแนวทางของพรรคก้าวไกลคือการเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนโยบายความมั่นคงเสียใหม่ คือเอาทหารออกจากภารกิจดูแลความมั่นคงภายใน ไปดูแลเฉพาะความมั่นคงภายนอก โดยความมั่นคงภายในต้องดูแลโดยพลเรือนเท่านั้น ขณะเดียวกันหากเป็นรัฐบาลพรรคก้าวไกล จะเสนอให้ยุบ กอ.รมน. และปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปจนถึงการแก้ไขกฎหมายความมั่นคงยกชุด การให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) เพื่อป้องกันการเกิดกรณีเลวร้าย เมื่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศถึงทางตัน สิ่งนี้จะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ รวมถึงออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่ถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังอยู่ขณะนี้ เพื่อแก้ปัญหาอันเป็นผลพวงจากความแตกแยกที่พลเอกประยุทธ์สร้างขึ้น
Tags: การเมือง, ประชุมสภา, พรรคก้าวไกล, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, มาตรา 512, อภิปราย 152, มาตรา 152