วันนี้ (7 พฤษภาคม 2568) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) นำทีมผู้บริหารกรุงเทพมหานคร แถลงผลงานพร้อมจัดเสวนาก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพฯ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง ในวาระการทำงานครบรอบ 3 ปี ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร พร้อมตอบคำถามสื่อมวลชนว่า ตนจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.สมัยหน้าหรือไม่นั้น ให้เป็นเรื่องของอนาคตว่า ยังมีพลังทำอะไรให้คนกรุงเทพฯ หรือไม่ โดยปัจจุบันขอทำงานเป็นผู้ว่าฯ กทม.ให้ครบวาระก่อน

“การขับเคลื่อนเมืองไม่สามารถทำได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง ต้องเกิดจากการร่วมมือกัน” ผู้ว่าฯ กทม.ระบุต่อว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา กทม.ดำเนินนโยบายที่จับต้องได้ในทุกมิติ ซึ่งสะท้อนผลลัพธ์เป็นรูปธรรมภายใต้นโยบาย ‘9 ดี’ ผ่านหลักการทำงาน 5 ข้อ คือ 1. การร่วมมือร่วมใจ 2. ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม 3. พลังของคนรุ่นใหม่ ร่วมกับคนที่มีประสบการณ์และมีพลังช่วยสร้างเมือง 4. ความมีน้ำใจ ความเป็นมิตร พหุวัฒนธรรม และการช่วยเหลือ และ 5. การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

ชัชชาติอธิบายว่า การพัฒนาเมืองนอกจากภาครัฐแล้ว ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายประชาชนจากทุกช่วงวัย ผลักดัน ‘สภาเมืองคนรุ่นใหม่’ นำนโยบายจากคนรุ่นใหม่มาพัฒนาเมือง รวมถึงแต่งตั้ง ‘ทูตสื่อสารเมือง’ เสริมพลังเครือข่ายสื่อสารภารกิจกรุงเทพมหานครสู่ประชาชน

“ถ้าเกิดผมให้ก็คงให้แค่ 5 คะแนนแหละ เพราะว่ายังมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องปรับปรุง เรื่องที่ทำได้ดีก็มี แต่ว่าเรื่องให้คะแนนก็ให้คนอื่นให้เราดีกว่า” ชัชชาติตอบคำถาม หลังถูกถามว่า จะให้คะแนนการทำงานตัวเองเท่าไร

สำหรับผลงานตามนโยบายโดยสรุป 9 ดี 9 ด้าน ตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีดังนี้

โปร่งใสดี

1. Traffy Fondue: รับเรื่องร้องเรียนแล้วมากกว่า 9 แสนเคส แก้ไขแล้วเสร็จกว่า 7.5 แสนเคส​ เฉลี่ยเวลาในการแก้ไขปัญหา 3.5 วันต่อเคส​ ประชาชนพึงพอใจการให้บริการมากกว่า 80%​ พร้อมกล่าวต่อว่า การแจ้งปัญหาผ่าน Traffy Fondue เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นการแก้ไขระบบราชการที่ล่าช้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกฎหมาย

2. เปิดเผยข้อมูล Open Bangkok​: เปิดข้อมูลงบประมาณแบบ ​Machine Readable ให้ติดตามความคืบหน้าการเบิกจ่าย​ งบประมาณ Open Budgeting​ โดยมีประชาชนใช้งาน Open Data Bangkok ​มากกว่า 4 ล้านครั้ง​

3. ปรับระบบการขออนุญาต​: ยกตัวอย่างการขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ ทราบผลภายใน 14 วัน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้าคำขออนุญาตได้ผ่าน LineOA กรุงเทพฯ​

4. แก้ปัญหาทุจริต​ร่วมกับตำรวจและหน่วยงานรัฐต่างๆ: ดำเนินการกับข้าราชการทุจริตแล้วกว่า 28 ราย​​

เดินทางดี

1. แก้ไขปัญหาน้ำท่วม​: แก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วม​กว่า 516 จุดจาก 737 จุด และเตรียมความพร้อมลอกท่อ ลอกคลอง เปิดทางน้ำไหล เฉลี่ยทั้งหมด 70% พร้อมกับกล่าวต่อว่า ในวันที่ฝนตกหนัก กทม.ได้รับคำตำหนิมากมาย ทว่าไม่ได้ปล่อยข้อตำหนินั้นไปเฉยๆ โดยไม่ปรับตัว

2. ส่งเสริมขนส่งสาธารณะ: ยกตัวอย่างการสร้างศาลารอรถเมล์ใหม่มากกว่า 100 แห่ง พร้อมตั้งเป้าสร้างศาลาใหม่ ป้ายบอกทาง และชำระหนี้สิน BTS ค่า E&M และค่าเดินรถบางส่วน รวมแล้วกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท

3. แก้ไขปัญหาจราจร​: ยกตัวอย่างการปรับสัญญาณไฟจราจรเป็นแบบ Adaptive ซึ่งสามารถลดความล่าช้าได้ 15% ต่อแยก​

สิ่งแวดล้อมดี

1. เพิ่มพื้นที่สีเขียว​: ปลูกต้นไม้มากกว่า 1.8 ล้านต้น​ พัฒนาสวน 15 นาทีที่ได้มาตรฐาน​เกือบ 200 สวน พร้อมกับขยายเวลาเปิด-ปิดสวนสาธารณะ และขยายการบริการ Pet Park​

2. ลดและคัดแยกขยะ:​ สามารถลดปริมาณขยะเมื่อเทียบกับช่วงก่อน​โควิด-19 มากกว่า 1,000 ตันต่อวัน ​ประหยัดค่ากำจัดขยะ 1,000 ล้านบาท และค่าเก็บขนและขยะ 2,000 ล้านบาท

สังคมดี​

1. ดูแลชุมชนและกลุ่มเปราะบาง​

2. จัดสรรงบประมาณแบ่งสัดส่วน: ​เน้นปรับปรุงกายภาพแทนการจัดกิจกรรม

สุขภาพดี

1. บริการสาธารณสุขเชิงรุก:​ เดินหน้าตรวจสุขภาพแล้วกว่า 7.8 แสนคน

2. เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ​: เพิ่มตู้กดน้ำดื่มฟรี เข้าตรวจสุขอนามัยของห้องน้ำสาธารณะ และติดตั้งเครื่อง AED ในพื้นที่สาธารณะและชุมชนมากกว่า 330 แห่ง

เศรษฐกิจดี

1. บริหารจัดการผู้ค้าหาบเร่แผงลอย:​ จัดระเบียบหาบเร่นอกจุดผ่อนผันมากกว่า 400 จุด ดำเนินการพัฒนาระบบ Check-in ช่วยยืนยันตัวตนผู้ค้าในจุดผ่อนผัน และจัดหา Hawker Center รองรับผู้ค้าที่ได้รับผลกระทบ

2. จัดหาพื้นที่ขายของ: เปิดจองแผงค้าออนไลน์ในตลาด กทม.ไปมากกว่า 500 แผงค้า และจัดถนนคนเดินกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้มากกว่า 19 ล้านบาท

บริหารจัดการดี

1. ประหยัดงบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง​ จากการจัดซื้อจัดจ้างปี 2567 กว่า 30,275 ล้านบาท​

ปลอดภัยดี​

1. ปรับปรุงไฟฟ้าส่องสว่างมากกว่า 1.15 แสนดวง, ติดตั้งกล้อง AI CCTV ตรวจจับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า ปรับปรุงทางม้าลายไปแล้วกว่า 2,100 แห่ง และปรับลดความเร็วสูงสุดบนถนนเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถลดการเสียชีวิตบนท้องถนนไปกว่า 9% ​ 

2. เพิ่มขีดความสามารถจัดการสาธารณภัย

เรียนดี

1. การจัดการเรียนการสอนแบบดิจิทัลคลาสรูม โดยนักเรียน กทม.สามารถเรียนผ่านโครมบุ๊ก ทำให้คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนเพิ่มขึ้น 28%

2. นำเทคโนโลยีช่วยสอนในห้องเรียนดิจิทัล ปี 2567 พร้อมขยายอีก 10 โรงเรียน ส่งผลให้นักเรียนมีการเรียนดีขึ้นทุกวิชา และในปี 2568 จะขยายอีก 437 โรงเรียน

3. ใช้ AI ช่วยฝึกเด็กพูด เขียน ส่งผลให้ภาษาอังกฤษดีขึ้น 37%

ทั้งนี้ชัชชาติยังกล่าวทิ้งท้ายในเสวนาก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพฯ​ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง ในวาระการทำงานครบรอบ 3 ปี ไว้ว่า

“หัวใจในการทำงานคือ การสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นได้ จากการทำงานที่ต้องมี 3 ส่วน คือ 1. ความรู้และเทคโนโลยี 2. ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และ 3. ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) โดยต่อจากนี้ก็พร้อมจะนำทีมงานก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพฯ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง เป็นเมืองที่มุ่งหน้าไปสู่อนาคตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

Tags: , , , ,