มีสองย่านหลักๆ ที่ฉันนึกออกได้ทันที เวลาใครถามว่าเดี๋ยวนี้มีย่านไหนในเมืองเชียงใหม่น่าอยู่บ้าง โดยทั้งสองต่างอยู่ชานเมือง หากก็อยู่ในระยะขับรถเข้าใจกลางเมืองไม่ถึงยี่สิบนาที ย่านแรกคือ หนองควาย เขตอำเภอหางดง เป็นย่านที่อยู่ในป่าเชิงดอยสุเทพ เงียบสงบและต้นไม้เยอะมาก ส่วนอีกย่านคือ ดอนแก้ว-สันผีเสื้อ รอยต่อของอำเภอเมืองกับอำเภอแม่ริม ต้นไม้อาจน้อยกว่า แต่ก็มากพอ และเป็นย่านริมแม่น้ำปิงแบบบ้านๆ ไม่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่ไกลจากแสงสี
โดยเฉพาะในตำบลดอนแก้ว ที่เพียงขับรถข้ามสี่แยกจากศูนย์ราชการ และเลี้ยวเข้าซอยไปหน่อยเดียว นอกจากจะเจอหมู่บ้านที่ชาวบ้านอยู่กันมานานนม ยังเจอทั้งทุ่งนา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงฟาร์มเพาะไม้ดอกหลากชนิดที่แต่ละวันเขาจะส่งไปขายในตัวเมืองและตามตลาดอื่นๆ ทั่วประเทศ ย่านดอนแก้วยังเป็นย่านริมแม่น้ำปิงในเขตอำเภอเมืองที่วุ่นวายน้อยกว่าย่านริมแม่น้ำอื่นๆ จนทำให้ฉันคิดว่าหากจะหาที่ปลูกบ้านอย่างไม่ต้องคำนึงถึงเพดานทรัพย์สิน (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) ก็อยากมาปลูกบนที่ดินริมแม่น้ำปิงสักผืนในย่านนี้ แต่นั่นล่ะ ระหว่างที่ได้แต่ฝันเฟื่อง ก็ใช้เวลาที่มีนอนโรงแรมไปก่อน
รายา เฮอริเทจ (Raya Heritage) คือโรงแรมเปิดใหม่ล่าสุด ตั้งอยู่ในเขตดอนแก้ว เป็นโรงแรมในเครือบริษัทพรีเมียร์ รีสอร์ทส์ แอนด์ โฮเทลส์ จำกัด เจ้าของเดียวกับ แทมมาริน วิลเลจ หนึ่งในบูติกโฮเทลแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ในย่านเมืองเก่า และรายาวดี โรงแรมบนหาดส่วนตัวในไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ เคยมีโอกาสพักทั้งสองโรงแรมนี้มาแล้ว จึงพอจะกล่าวอย่างไม่เกินจริงได้ว่าทั้งสองแห่งนี้คือโรงแรมระดับ God is in the details ทั้งการออกแบบ การตบแต่ง การเลือกข้าวของมาใช้ รวมไปถึงการบริการ ซึ่ง รายา เฮอริเทจ ก็รักษามาตรฐานเช่นนั้นได้ยอดเยี่ยมไม่ต่าง
รายา เฮอริเทจ ตั้งอยู่ชิดริมน้ำ ลึกเข้าไปจากแนวถนนราว 200 เมตร ซึ่งพอพ้นจากลานจอดรถ ก็จะเจอโถงต้อนรับที่มีคอร์ทกลาง แวดล้อมด้วยอาคารโทนสีขาว-ครีมที่ตั้งใจออกแบบให้โปร่งโล่ง และโอเวอร์ไซส์ รับไปกับต้นสะเดาและต้นกระท้อนสูงใหญ่กลางคอร์ท (ต้นไม้ที่ตระหง่านอยู่แต่เดิมบนพื้นที่) นอกคอร์ทไปนิดๆ คือต้นพะยอมและตะเคียนคู่สูงโปร่ง และไม้พุ่ม พ้นไปจากต้นไม้คือสนามหญ้าที่ทอดลงสู่แม่น้ำปิง
อาคารรอบคอร์ทกลางคือ Common Area ของโรงแรม ซึ่งนอกจากเป็นส่วนต้อนรับอันโอ่โถงแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ ‘บ้านท่า’ – เลานจ์ที่หันหน้าเข้าหาแม่น้ำปิง ‘ลานชา’ ระเบียงสำหรับนั่งจิบชาสมุนไพรและเครื่องดื่มเบาๆ รับลมเย็น ‘ไอ ว่าน สปา’ สปาของโรงแรม และห้องอาหารคุข้าว ที่เสิร์ฟอาหารเอเชี่ยนฟิวชั่นที่หาทานที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ ในเชียงใหม่ อาทิ น้ำพริกเขมร จะส่านและจิ้นลุง ตำรับไทใหญ่ หรือข้าวแรมฟืนใส่ไก่ยูนนาน เป็นต้น
จากคอร์ทกลาง อาคารห้องพักเหยียดตัวไปทางขวาขนานไปกับลำน้ำ อาคาร 3 ชั้น บรรจุห้องพักด้วยกันทั้งหมด 33 ห้อง ซึ่งไม่ได้ Tradition จ๋า หรือล้านนาหยดย้อยเสียจนคนอยู่รู้สึกเกร็งเหมือนมีห้องนอนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ หากเป็นการนำองค์ประกอบล้านนาที่เห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีอย่าง กระเบื้องดินขอ เสาไม้ที่ตัดมาจากต้นยางนา (สูงเท่าตัวอาคาร) ฉากจากกระดาษสา เครื่องปั้นดินเผา งานหัตถกรรมและผ้าทอ ฯลฯ มาจัดวางเข้ากับที่ว่างอย่างร่วมสมัย
‘วิถีชีวิตริมน้ำแบบดั้งเดิมของชาวบ้าน’ คือคอนเซปต์หลักที่โรงแรมเลือกใช้เป็นแก่นในการออกแบบ โรงแรมจึงให้อารมณ์ที่คล้ายจะปลูกสร้างขึ้นจากสล่าพื้นบ้านมากกว่าผู้รับเหมาฯ ผสานกันระหว่างเฟอร์นิเจอร์แอนทีคที่เจ้าของรวบรวมมาจากทั่วภูมิภาค และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ทำมือขึ้นมาใหม่อย่างเฉียบเนี้ยบ การใช้งานหัตถกรรมโดยเฉพาะเครื่องใช้ไม้สอยของชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ริมน้ำมาประยุกต์เป็นของตบแต่งจึงมีให้เห็นได้ทั่วไป ทั้งไซจับปลา (ที่พอมาวางประดับเรียบๆ ก็สวยอย่างกับงานศิลปะเลย) กรงไก่ที่ประยุกต์เป็นโคมไฟ หรือกระทั่งคุข้าว (กระด้งขนาดใหญ่ที่เคยใช้สำหรับฝัดข้าวเปลือก) ซึ่งถูกนำมาแขวนบนเพดานห้องอาหารคุข้าวอย่างเรืองอร่าม เป็นต้น
ห้องพักที่แพงที่สุดและมีพื้นที่มากที่สุด (100 ตารางเมตร) คือ Kraam Pool Suite ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคาร ที่ต้องตั้งอยู่ชั้นนี้ เพราะทุกห้องมีสระว่ายน้ำส่วนตัวอยู่หน้าห้องนั่นเอง Kraam ในที่นี้มาจากสีคราม หรือสีน้ำเงินที่ย้อมด้วยกรรมวิธีธรรมชาติจากใบของต้นคราม อันป็นธีมของห้อง ทั้งสีของเดย์เบดริมสระ ผ้าม่าน (ที่ไล่เฉดจากครามเข้มที่ปลายผ้าค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ จนเป็นสีขาวด้านบน) โซฟา และงานผ้าทั้งหมดที่มีในห้อง ไม่เว้นกระทั่งม้านั่งยาวข้างเตียงที่ครอบด้วยสาดแหย่ง (เสื่อที่สานจากต้นแหย่ง) ก็ยังทาสีคราม เฉียบเท่และตัดกับสีขาวและครีมของพื้น ผนัง และเพดานห้องอย่างหมดจด
ความที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว ห้อง type นี้เลยมีห้องอาบน้ำอยู่สองห้องด้วยกัน ห้องแรกคือห้องอาบน้ำหลักที่อยู่หลังห้องนอน มีอ่างอาบน้ำให้แช่ แยกจากห้องอาบแบบเรนชาวเวอร์ ส่วนห้องอาบน้ำอีกห้องที่ชอบเป็นพิเศษ คือ outdoor shower ริมสระว่ายน้ำค่ะ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการวางโอ่งดินเผามีฝาปิดทำจากไม้และกระบวยสำหรับตักอาบ ขึ้นจากสระก็เปิดโอ่งตักน้ำรดตัวเลย หรูหราแบบบ้านๆ ดี
ชั้น 2 และชั้น 3 ของโรงแรมคือห้อง Rin Terrace Suites และ Huen Bon Suites ตามลำดับ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนชั้นแรก ขาดแต่สระส่วนตัว (แต่สระส่วนรวมที่เดินเข้าถึงได้ง่ายจากชั้น 2 และ 3 นี่ก็น่าลงเล่นกว่าสระส่วนตัวค่ะ เพราะเห็นวิวแม่น้ำปิงทอดยาวอยู่แค่ปลายจมูก ชิลล์สุดๆ) ห้องทั้งสองแบบมีขนาดเท่ากันคือ 75 ตารางเมตร มีระเบียงใหญ่ที่เป็นโซฟาไว้นั่งชิลล์รับลมจากแม่น้ำไปในตัว
ส่วนตัวฉันชอบชั้น 3 มากกว่าหน่อย เพราะห้องภายในเขาถอดฝ้าเปลือยเพดานหมด จึงเห็นโครงสร้างของหลังคาดินขอดิบๆ สวยเฉียบเลยล่ะ กระนั้นบริเวณทางเท้าเข้าสู่ห้องพักบนชั้น 2 เขาก็ทำได้เก๋ไก๋ไม่น้อยหน้า เพราะเล่นจัดสวนบนทางเดินอิฐบนระเบียงไปเสียเลย กลายเป็นสวนลอยฟ้าที่หากดูกันเผินๆ ก็คิดว่าที่เหยียบยืนอยู่นี่คือสวนบนระนาบพื้นดินจริงๆ
ทั้งนี้ห้องพักทุกห้องมีระเบียงกว้างที่หันหาทิวทัศน์ของแม่น้ำปิง คั่นด้วยสวนที่แวดล้อมทางเดินหลักหน้าอาคาร สวนอันร่มครึ้มด้วยสีเขียวหลากเฉดและสีสันของไม้ดอกและไม้ยืนต้นพื้นเมือง ดูเพลินตาราวกับงานจิตรกรรมของอองรี รูโซ (Henri Rousseau) ซึ่งว่าไปแล้ว การจัดสวนและจัดวางต้นไม้ใหญ่ก็เป็นอีกจุดเด่นของโรงแรมในเครือนี้ เพราะทั้งแทมมาริน วิลเลจ และรายาวดี ก็ต่างร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ หนาแน่นแต่ไม่รกครึ้ม พอดิบพอดี ซึ่งก็ทราบภายหลังว่าทางเครือโรงแรมได้จ้างหมอต้นไม้ที่ให้คำปรึกษาเฉพาะทางเรื่องการดูแลต้นไม้ไว้ประจำการด้วย มิน่าพื้นที่สีเขียวของที่นี่จึงชอุ่มสวยเป็นพิเศษ
ใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า ความศิวิไลซ์เขาไม่ได้วัดกันแค่ตึกสูง สาธารณูปโภค และเทคโนโลยี แต่ดูถึงวิธีการจัดการและอนุรักษ์ต้นไม้ที่ที่แห่งนั้นๆ มีอยู่ด้วย ก็ต้องชื่นชมว่าเครือโรงแรมเครือนี้มีรสนิยมศิวิไลซ์จริงๆ
Fact Box
- Raya Heritage ตั้งอยู่ในตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม ขับรถออกจากเมืองมายังสี่แยกศูนย์ราชการเชียงใหม่ ให้เลี้ยวซ้ายเพื่อกลับรถลอดอุโมงค์ไปทางถนนวงแหวนรอบสอง เลี้ยวซ้าย (ไม่ต้องขึ้นสะพาน) เลาะถนนเลียบแม่น้ำปิงไปราวหนึ่งกิโลเมตร โรงแรมมีห้องอาหาร เลานจ์ สปา และระเบียงสำหรับจิบชา เปิดให้บริการสำหรับแขกที่ไม่ได้นอนโรงแรมด้วยค่ะ www.rayaheritage.com