การเลือกไม่รับวัคซีนโควิด-19 เป็นโจทย์ที่รัฐบาลหลายประเทศพยายามหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะขณะนี้เพียงวัคซีนอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้กลับมาเดินเครื่องเศรษฐกิจ ได้ ซึ่งหากประชากรส่วนใหญ่ไม่มีหลักประกันว่าตัวเองจะปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็เป็นไปได้ที่ประเทศนั้นจะต้องกลับไปเจอการระบาดใหม่ไม่รู้จบ
ช่วงที่ผ่านมา เราจึงเห็นบรรดาผู้นำออกมาพูดสร้างความเชื่อมั่นทุกวิธีทางว่ายังไงการรับวัคซีนย่อมเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย ทว่า ฌาอีร์ โบลโซนารู (Jair Bolsonaro) ประธานาธิบดีบราซิล กลับทำสิ่งตรงกันข้าม ด้วยการยืนกรานจะไม่รับวัคซีนโควิด-19
โบลโซนารู กล่าวกับสำนักข่าว O Globo ของบราซิล เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านว่า “เกี่ยวกับวัคซีน ผมได้ตัดสินใจที่จะไม่รับวัคซีนอีกต่อไป ผมได้ดูการศึกษาใหม่…ทำไมผมถึงควรได้รับการฉีดวัคซีน?” โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าระดับแอนติบอดีของเขาสูงอยู่แล้ว จากการเคยติดเชื้อในอดีต
“มันจะเหมือนกับการเดิมพันเงิน 10 เรียลบราซิล (60 บาท) ในลอตเตอรีเพื่อชนะสองรางวัล มันไม่สมเหตุสมผล” พร้อมออกตัวด้วยว่าตัวเองไม่ได้ต่อต้านการฉีดวัคซีน แต่คัดค้านสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ความบ้าคลั่ง’ ในการซื้อวัคซีน
เมื่อความคิดเห็นนี้ออกมา ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในบราซิลที่สูงมากกว่า 6 แสนคน ความโกรธในหมู่ประชาชนจึงลุกโชนขึ้น มีคนจำนวนมากกล่าวหาว่าเขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาต่างๆ เช่น ความหิวโหย ความยากจน และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
“มันเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัว เพราะการฉีดวัคซีนไม่ใช่แค่การป้องกันตัวเองเท่านั้น การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปกป้องคนรอบข้าง” นาตาเลีย ปาสเตอร์นัก (Natalia Pasternak) นักวิชาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และหัวหน้า Institute Question of Science (IQC) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรทางด้านวิทยาศาสตร์ของบราซิลกล่าว
ปาสเตอร์นักโต้แย้งคำกล่าวอ้างของโบลโซนารูที่ว่าระดับแอนติบอดีของเขาสูงจึงไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนว่า ‘ไม่มีข้อมูล และเป็นความเข้าใจผิด’ เพราะระดับของแอนติบอดีในเลือดจะขึ้นและลงตามการสัมผัสกับไวรัส ดังนั้น การวัดระดับแอนติบอดีในเลือดอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่าคุณได้รับการป้องกันจากไวรัสหรือไม่ สิ่งที่จะบอกได้คือ เซลล์ความจำ (Memory Cell) มีการตอบสนองต่อเซลล์ที่เพียงพอ (เมื่อแอนติเจน (Antigen) ที่อาจเป็นเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย จะกระตุ้นกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ อันเกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว 2 ชนิด คือ เซลล์บี (B cell) และ เซลล์ที (T cell) เซลล์บีและเซลล์ทีบางส่วนจะพัฒนาไปเป็นเซลล์ความจำ (Memory Cell) ที่มีความจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น ทำให้เมื่อได้รับแอนติเจนชนิดเดิมอีกในครั้งต่อไป จะตอบสนองและสร้างแอนติบอดีได้อย่างรวดเร็ว)
อีกทั้ง การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ในสหราชอาณาจักร ยังชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 แอนติบอดี ไม่ได้สามารถป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variants of Concern หรือ VOC)
สัปดาห์นี้อัตราการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือค่า R0 ของบราซิลลดลงเหลือเพียง 0.6 หรือผู้ติดเชื้อ 1 คน จะแพร่เชื้อต่อได้ที่ 0.6 คนเท่านั้น นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าความสำเร็จส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลงานการฉีดวัคซีนอันน่าประทับใจ ชาวบราซิลมากกว่า 72% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส และ 47% ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส โดยรวม จึงมีประชาชนได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 154 ล้านคน
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือพฤติกรรมของโบลโซนารูจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในวัคซีนของชาวบราซิล เนื่องจากตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคระดับชาติที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ชาวบราซิลรู้สึกสบายใจและสนับสนุนการฉีดวัคซีน ดวยเหตุนี้ สิ่งที่โบลโซนารูกำลังทำอยู่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกต่อต้านวัคซีนในอนาคตได้ เหมือนที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่
“เราไม่ควรมองเรื่องนี้ผิวเผิน เราต้องคิดถึงผลกระทบของสิ่งนี้ใน 10 ปีข้างหน้า ด้วยคำกล่าวเช่นนี้ ประธานาธิบดีได้เปิดประตูให้ขบวนการต่อต้านวัคซีนหยั่งรากลึกในบราซิลแล้ว” ปาสเตอร์นักกล่าว
ที่มา :
–https://www.scimath.org/article-biology/item/11611-2020-06-05-09-38-52
Tags: บราซิล, วัคซีนโควิด-19, ฌาอีร์ โบลโซนารู