1

“ถ้าเป็นไปได้ บ่ายนี้ช่วยมาที่โรงพยาบาลด้วย”

พลันที่ประเทศจีนยกเลิกนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ สี จิ้นผิง (Xi Jingping) ฮ่องเต้องค์ใหม่ ชูว่าเป็นยอดนโยบายที่เขาผลักดันสนับสนุน จนทำให้จีนมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดต่ำมาก สวนทางกับหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจศัตรูหมายเลข 1 ของมังกร

อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลายประเทศทั่วโลกต่างฉีดวัคซีน จนตอนนี้ถอดแมสก์ ใช้ชีวิตปกติแล้ว ทางแผ่นดินจีนยังมะงุมมะงาหรากับการคุมโควิดเป็นศูนย์ จนคนประท้วง สถานการณ์วุ่นวาย ทำให้จักรพรรดิสีต้องยกเลิกไปในที่สุด

แต่เมื่อการยกเลิกเกิดขึ้น จีนก็สะท้านรับรู้ความจริงในที่สุด และได้เจอในสิ่งที่ทั้งโลกโดนกันมากว่า 2 ปี นั่นก็คือยอดผู้ติดเชื้อสูง มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หลายโรงพยาบาลรับมือคนไข้ไม่ไหว ระบบสาธารณสุขล่มสลาย

สาเหตุเพราะจีนไม่มีวัคซีนที่ทรงประสิทธิภาพ แถมยอดฉีดเข็มกระตุ้นก็ไม่สูง นั่นทำให้โควิด-19 โรคระบาดที่หลายคนเริ่มเบาใจ แต่แผ่นดินมังกรกลับต้องระทึก เมื่อโควิด-19 ระอุลามไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟ จนทุกข์ทนทั้งแพทย์และประชาชน

นี่คือวิกฤต ที่ สี จิ้นผิง และผู้มีอำนาจกำลังรับมืออยู่ในขณะนี้ โดยไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปได้อีกขนาดไหน

 

2

ช่วงเวลานี้ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนพุ่งสูงถึง 533% หลังจากนโยบายคุมเข้มโรคระบาดเป็นศูนย์ยุติลง บางวันมียอดคนติดเชื้อสูงสุดถึงหลักแสนคน ยังไม่ต้องนับว่าการสำรวจผู้ติดเชื้อในจีนนั้น น่าสงสัยมากว่ามีความโปร่งใสแค่ไหน เพราะหลายครั้งก็พยายามกดตัวเลข ปัดผู้ติดโควิด-19 ออก โดยให้ถือว่าเป็นหวัดเท่านั้น

เมื่อยอดติดเชื้อพุ่งสูง ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็ขยับตามสูงถึง 1,271% ถือเป็นหายนะอย่างมากของแดนมังกร

สาเหตุที่ผู้เสียชีวิตมีเยอะ เป็นเพราะผู้ติดเชื้อหลายคนไม่ได้ฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมีการฉีดเข็มบูสวัคซีนที่น้อยมาก ทำให้โควิด-19 กลับไปสู่จุดวิกฤตแรกเริ่ม คนแก่และผู้มีโรคประจำตัวจึงกลายเป็นผู้เสี่ยงสูงที่จะสูญชีวิตในหายนะครั้งนี้ทันที

ขณะนี้ระบบสาธารณสุขจีนแทบกระอักเลือด แพทย์ พยาบาล ทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว แถมบางคนยังติดเชื้อโควิด-19 มาด้วย แต่หากต้องรักษาตัวหรือหยุดทำงานไป หายนะก็จะทวีคูณความเลวร้ายลงมากกว่าเดิม

พวกเขาจึงถูกตามตัวมารักษาคนป่วยโควิด-19 ทั้งที่ตัวเองติดเชื้อด้วย

สำนักข่าวดิอิโคโนมิสต์ (The Economist) ได้ทำข่าวสืบสวนสอบสวน ตีแผ่ความเลวร้ายครั้งนี้อย่างน่าตกตะลึง

พยาบาลคนหนึ่งได้ปั๊มหัวใจผู้ติดเชื้อโควิด-19 วัย 81 ปี ก่อนที่เธอจะเป็นลม ล้มไปกองกับพื้น เพราะติดเชื้อโควิด-19 อยู่ก่อนแล้ว

ทั้งนี้เมื่อรู้ตัวว่าติดเชื้อ เธอก็ต้องการจะลาหยุดเพื่อรักษาตัว แต่หัวหน้าไม่อนุญาต โดยได้กำชับให้รีบมาทำงาน เพราะมีผู้ติดโควิด-19 ล้นระเนระนาดอยู่ที่โรงพยาบาลขณะนี้

เมื่อความเลวร้ายเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ทางการจึงไม่สามารถปิดบังปัญหานี้ได้ โลกทั้งใบจึงได้เห็นมหาอำนาจแดนมังกรลำบากระทมเลือดตาแทบกระเด็น โดยไม่รู้ว่าวิกฤตนี้จะจบลงอย่างไร

ทางการจีนมีทางเลือกคือต้องนำเข้าวัคซีนมีคุณภาพจากต่างแดน หรือไม่ก็ต้องหาทางผลิตเอาเอง แต่แน่นอนว่าในประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จนี้ ‘ข้อมูล’ ต่างหากที่สำคัญกว่าชีวิตคน หน้าตาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงสำคัญกว่าคนในประเทศ พวกเขาเลยกดตัวเลขผู้ป่วยให้ดูน้อยกว่าความเป็นจริง

แต่ขนาดว่าตกแต่งตัวเลขกันแล้ว ก็ยังดูวิกฤตอยู่ดี

 

3

ผลเสียหายจากนโยบายคุมโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งใช้กันตอนทั้งโลกเจอโรคระบาด ก็คือบุคลากรการแพทย์จีนมีประสบการณ์ในการรับมือเรื่องนี้น้อยมาก

ช่วงเวลาที่ใช้นโยบายดังกล่าว จีนเน้นคุมคนติดเชื้อ เน้นกักตัวอย่างเข้มข้น ทำให้หมอพยาบาลไม่ได้จัดการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แบบจริงจัง ยิ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูง พวกเขาจึงทำอะไรไม่ถูก และรับมือได้ไม่เร็วพอ

เราจึงเห็นคนตายจากโควิด-19 ในขณะนี้

พยาบาลบางคนที่ติดโควิด-19 และเพิ่งฟื้นตัว ก็ยังไร้เรี่ยวแรงจะเดิน ฟื้นพลัง ขณะมาทำงานก็เจอคนไข้ร้องขอให้รักษา ถึงขั้นฉุดกระชากวิงวอน

หมอรายหนึ่งเผยว่าเตียงที่โรงพยาบาลซึ่งมีการเสริมเพื่อรับมือการติดเชื้อ ประมาณ 100 เตียง แต่สุดท้ายก็ไม่เพียงพออยู่ดี คนไข้ต้องลงไปนอนกองกับพื้น ทรมานอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล ทุกจุดมีแต่คนติดเชื้อที่อาการหนัก หายใจไม่ออก เพราะโควิด-19 ลงปอด ช่างเป็นภาพที่ชวนเศร้าอย่างยิ่ง

“ฉันเห็นคนตายไปแล้ว 10 กว่าราย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยพบผู้เสียชีวิตจากโควิดเลย”

หมอบางคนต้องป้องกันตัวเอง ใส่แมสก์ ถุงมือ ชุดพีพีอีอย่างแน่นหนา ไม่ใช่เพราะกลัวติดโควิด-19 แต่เพราะพวกเขาต่างหากที่ติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว และไม่อยากแพร่ใส่คนอื่น

“เราพยายามย้ายผู้ติดเชื้อไปห้องฉุกเฉิน พยายามช่วยชีวิต แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตาย”

ความน่ากลัวก็คือสถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายอย่างมาก และบุคลากรการแพทย์ทั้งหมดไม่อาจรู้ได้เลยว่า ในอนาคตสถานการณ์จะดิ่งลงเหวได้ถึงขนาดไหน

 

4

ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เมื่ออาทิตย์ก่อน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเมินว่า 70% ของประชากรกว่า 26 ล้านคน จะติดเชื้อ และนี่คือเวลาที่โควิด-19 ถึงจุดพีกแล้ว

เมื่อคนตายจากโควิด-19 มากขึ้น สถานการณ์ที่คล้ายกับในอินเดียก็ปรากฏในแผ่นดินจีน นั่นก็คือสัปเหร่องานยุ่งมือเป็นระวิง ในไทยเราได้เห็นเมรุวัดเผาศพจนพังระเบิด ประเทศจีนก็ไม่ต่างกัน

ถามว่าคนจีนรู้สึกอย่างไร ก็ขอให้นึกถึงช่วงเวลาที่เราเจอโควิด-19 พุ่งสูงสุดขีด คนตายกันเกลื่อนกลางถนน มันเป็นความรู้สึกที่ประชาชนแดนมังกรประสบพบเจอในขณะนี้

ทั้งโกรธแค้นผู้มีอำนาจ ทั้งเศร้าซึมต่อการจากไปของผู้เป็นที่รัก ทั้งหวาดกลัวว่าเราจะติดโควิด-19 ด้วยหรือไม่

มันเป็นความรู้สึกที่หนีไปไหนก็ไม่ได้ ต้องเผชิญชะตากรรมนี้อย่างเศร้าสร้อยตกตะลึง

ผู้ดูแลระบบสาธารณสุขของจีนประเมินกันว่า 90% ของคนจีนจะติดโควิด-19 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าตอนแรก จากที่คิดกันว่าจะติดเชื้อเป็นล้านคน ตอนนี้เชื่อกันว่าจะมีคนติดโควิด-19 ถึงหลักร้อยล้านคนกันแล้ว

เจอแบบนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับระดมโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อที่ควบคุมไว้ เน้นย้ำว่าให้หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยเด็ดขาด ซึ่งมันทำไม่ได้เลยในโลกแห่งความเป็นจริง

“วันนี้ไวรัสอ่อนแอ และพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น”

ช่างเป็นคำโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อที่โกหกกันหน้าด้านๆ

จากที่คนจีนฝันหวานว่าปี 2023 นี้จะได้ไปเที่ยวในประเทศ ใช้เงินกันอย่างเต็มที่ หลังนโยบายคุมเข้มโควิด-19 หายไป คราวนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ฝันร้าย การเดินทางลดฮวบ ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนที่จะกระทบกระเทือนอย่างหนัก สวนทางกับทั้งโลกที่หวังโกยรายได้ หลังอยู่ในโรคระบาดมาหลายปี

เมื่อจีนระทมทุกข์ แก้ปัญหาโควิด-19 ระบาดเหมือนลิงแก้แห มันก็ยิ่งทำให้ประเทศอื่นๆ ต่างตระหนกกับจีนไปด้วย หลายชาติคุมเข้มการเดินทางของคนจีน เพียงแค่ตรวจ ATK ก็ยังไม่เพียงพอ จะต้องมีผล RT-PCR Test ด้วยถึงจะยินยอมให้ออกไปเที่ยวได้

ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดการวิกฤตนี้เหมือนประชาชนไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติ แทนที่จะเร่งแก้ปัญหา กลับปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่มีหนทางแก้ไข

สิ่งที่ทางการขยันทำที่สุด คือปิดบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียไปกว่า 1 พันบัญชี ที่วิจารณ์รัฐบาลในการรับมือโควิด-19 เรียกได้ว่าแบนผู้ใช้สื่อออนไลน์ไปหลายหมื่นคนแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สะเทือนถึงบังลังค์ฮ่องเต้สี จิ้นผิง อย่างมาก แต่ทางพรรคคอมมิวนิสต์ที่อยู่ภายใต้อุ้งมือจักรพรรดิสี ยังคงปฏิเสธความร้ายแรงของเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และคงป่าวประกาศว่าสถานการณ์แดนมังกรยังปกติ

และทุกอย่างอยู่ในความควบคุม

 

5

เรื่องราวความเลวร้ายทั้งหมดนี้สะท้อนได้ชัดว่า การควบคุมกับการปกครองนั้น ไม่ใช่ศาสตร์เดียวกัน ทั้งยังแตกต่างกันอย่างมาก พลันที่ประชาชนทนไม่ไหวกับนโยบายคุมเข้มโควิดเป็นศูนย์ ออกมาประท้วงกันชนิดมืดฟ้ามัวดิน แทนที่รัฐบาลจีนจะหาทางแก้ปัญหา แต่พวกเขากลับกลัวว่าเรื่องนี้จะสะเทือนต่อพรรค จึงปลดล็อกนโยบายโดยไร้มาตรการรับรอง

ผลก็คือคนจีนนับล้านๆ คนอยู่ในความเสี่ยง

และทำให้ทั้งโลกต้องมาปวดหัวกับโควิด-19 อีกครั้งด้วย

ปัจจุบันนี้ บุคลากรการแพทย์ต่างอ่อนแรงและโรยราต่อการรับมือกับผู้ติดเชื้อเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวลือที่ระบาดยิ่งกว่าโควิด-19 ยาบางแห่งขาดแคลน สมุนไพรบางชนิดถูกกว้านซื้อ เพราะคนเชื่อกันเองว่าจะช่วยให้รอดจากโควิด-19 ได้ นี่เป็นสิ่งที่สะเทือนและถือเป็นบาดแผลฝันร้ายของคนจีนอย่างยิ่ง

ปัญหาทั้งหมดนี้ไม่สามารถชี้ไปยังใครได้เลยนอกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะสี จิ้นผิง ที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ที่ผ่านมา เขามุ่งเน้นแสวงหาอำนาจของตัวเองจนละเลยประชากร มุ่งกระชับพลานุภาพเสริมความมั่นคงแก่พรรคพวกโดยไม่สนใจราษฎรจีน

สุดท้ายทุกอย่างก็จะหันกลับพุ่งเป้ามาที่สีและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เราไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องจากไปในแดนมังกร แต่เรารู้ว่าวินาทีนี้ บุคลากรการแพทย์จีนต่างทำงานหนักเกินอัตราที่ตัวเองรับมือไหว มันเป็นศึกสงครามที่เลวร้ายและโหดเหี้ยมอย่างมาก

แต่ถึงจะสาหัสและโหดเหี้ยมแค่ไหนก็ตาม แพทย์-พยาบาลที่มีหน้าที่ต้องรักษาคนป่วย ต้องดูแลประชาชน ต่างยังคงทำงานของตัวเองต่อไป แม้จะเสี่ยงชีวิตแค่ไหนก็ตาม

พวกเขายังต้องสู้

ในฝันร้ายแห่งความจริงที่ทุกอย่างย่ำแย่ไปเสียหมด มนุษย์กลุ่มหนึ่งยังคงพยายามช่วยชีวิตเพื่อนร่วมชาติ พยายามอย่างมากที่จะแก้ไขปัญหานี้แบบนาทีต่อนาที

เราได้แต่หวังว่าวิกฤตโควิด-19 ในจีนจะมีจุดสิ้นสุด และสถานการณ์คงจะทุเลาลงในอนาคต แต่วินาทีนี้ เราทำได้เพียงส่งใจช่วยบุคลากรการแพทย์ ที่ยังคงรักษาผู้ป่วยอย่างเหนื่อยล้า

เพราะไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว นอกจากใช้วิชาชีพ ความรู้ที่ตัวเองเรียนมาดูแลผู้ป่วยโควิด ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มมหาศาลขึ้นทุกวันต่อจากนี้

แพทย์คนหนึ่งที่ต้องปิดรายชื่อ เพื่อป้องกันความปลอดภัยของตัวเอง ได้แอบให้สัมภาษณ์ต่อสื่ออย่างอ่อนแรง แต่ก็มุ่งมั่นตามอุดมการณ์

“ผมทั้งเหนื่อยและสิ้นหวัง แต่พวกเราทั้งหมด ก็ต้องหยัดยืนเพื่อรักษาผู้ติดเชื้อ”

 

อ้างอิง

https://www.economist.com/1843/2023/01/05/inside-chinas-covid-ravaged-hospitals

https://www.nytimes.com/interactive/2021/world/covid-vaccinations-tracker.html

https://www.nytimes.com/2023/01/10/world/asia/china-covid-shanghai-photos.html?campaign_id=7&emc=edit_mbae_20230111&instance_id=82367&nl=morning-briefing%3A-asia-pacific-edition&regi_id=133553334&segment_id=122150&te=1&user_id=9f4172e6f598f64f625d347bf52e765c

https://www.aljazeera.com/news/2023/1/7/china-suspends-social-media-accounts-of-covid-policy-critics

https://www.theguardian.com/world/2023/jan/09/life-is-moving-forward-china-enters-new-phase-in-covid-fight-as-borders-open

https://www.nytimes.com/2022/12/26/business/china-covid-communist-party.html

 

Tags: , , , , , , , ,