วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ศุภโชติ ไชยสัจ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้สดด้วยวาจาถาม พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์ และรอบ 3,600 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โครงการส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และมีปัญหาหลายประการ ตั้งแต่การเป็นโครงการที่ไม่ควรมีตั้งแต่แรก และหากต้องการพลังงานสะอาดรัฐบาลก็สามารถใช้วิธีการอื่นอย่าง Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA)

ขณะเดียวกันกระบวนการคัดเลือกในการรับซื้อก็มีข้อทุจริตหลายข้อ ทั้งการไม่ประกาศหลักเกณฑ์วิธีการ เอกชนที่ยื่นเข้ามามีแค่กลุ่มทุนพลังงานเพียง 2 กลุ่ม นอกจากนี้ในรอบที่ 2 ยังมีการล็อกโควตาระบุว่า ต้องเป็นคนที่เคยยื่นโครงการเข้ามาในรอบแรกเท่านั้น โดยที่ไม่ได้มีการเปิดประมูลราคารับซื้อ แต่กลับไปกำหนดราคากันเองแบบแพงเกินจริง ทำให้ภาระที่ประชาชนต้องแบกรับผ่านบิลค่าไฟอาจแตะถึง 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเห็นด้วยกับข้อเสนอ และควรยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบตั้งแต่มีเค้าส่อทุจริตแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันให้มีการรับซื้อไฟฟ้าต่อไป อ้างคำพูดกฤษฎีกาว่า ไม่สามารถยกเลิกได้ แม้ระเบียบการรับซื้อของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เขียนไว้ชัดเจนว่า รัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีอำนาจในการยกเลิกได้ก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้มีการลงนามจนเกือบครบทุกรายแล้ว และประชาชนต้องแบกรับต้นทุนกันไปแล้ว

ส่วนการรับซื้อไฟฟ้ารอบ 3,600 เมกะวัตต์ ควรต้องยกเลิกเหมือนกัน เพราะมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นการใช้ราคาเดิม ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนที่ลดลงทุกปี แล้วกลับยังมีมติ กพช.ออกมาในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ให้ กกพ.รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เจรจากับผู้ได้รับการคัดเลือกให้ปรับลดราคารับซื้อไฟฟ้าลง โดยให้ใช้ราคาอ้างอิงจากโครงการของ กฟผ.ในอดีต แต่ก็เกิดความสับสนหลายประเด็น โดยเฉพาะการให้เอกชนผู้ได้รับการคัดเลือกเข้ามาลงนามการซื้อขายไฟฟ้าภายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยรัฐบาลบอกให้ไปเจรจา แต่หน่วยงานกลับให้เข้ามาลงนามสัญญาได้เลย

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า กพช.จะเอาอย่างไรกับการรับซื้อไฟฟ้าทั้งรอบ 5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ตนยังยืนยันว่า รัฐบาลมีอำนาจเต็มในการยกเลิกทั้งหมด เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ภาระของประชาชนสูงขึ้นแน่นอน

ศุภโชติยังกล่าวด้วยว่า หากรัฐมนตรีระบุว่า มติ กพช.ไม่ใช่มติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง รัฐมนตรีก็ควรชี้แจงได้เลยว่า ในที่ประชุมวันนั้นใครสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้ารอบนี้ ส่วนเรื่องราคาที่รัฐมนตรีชี้แจงว่า ต้องกำหนดราคาเช่นนี้ อยากถามว่า ทำไมไม่ให้เกิดการประมูลแข่งขันด้านราคา นอกจากนี้ที่ตัวแทนคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมการ กพช.ระบุด้วยหรือไม่ว่า กพช.ก็มีอำนาจในการยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบ

“ถ้าบอกว่าประเทศไทยต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด รัฐบาลย่อมรู้ตัวเลขอยู่แล้วว่า ต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเท่าไร หน่วยงานมีการคำนวณออกมาแล้วว่าจะต้องใช้ราว 8,000 เมกะวัตต์เหมือนที่มีการประกาศรับซื้อทั้ง 2 รอบ แต่จะแบ่งโควตาบางส่วนมาให้ภาคประชาชนได้ด้วยหรือไม่ ถ้าดูโควตา 90 เมกะวัตต์ที่เคยให้ เต็มไปแล้วตั้งแต่ปี 2566 ใช้ได้แค่ 1,000 หลังคาเรือนเท่านั้น หรือหากจะบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม คำถามคือทำไมปัจจุบันจึงยังไม่เห็นแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับเรื่องนี้มากขึ้น”

ด้านพีระพันธุ์กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ เกิดขึ้นในรัฐบาลอื่น ไม่ใช่รัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่การแก้ปัญหามีข้อจำกัดที่เป็นรูปแบบคณะกรรมการ ไม่ใช่ตัวบุคคล อำนาจไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล และมติคณะกรรมการเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นเช่นนั้น

ทั้งนี้เห็นด้วยว่า ราคาที่รับซื้อนั้นแพงเกินไป แต่มีการอ้างว่าราคานี้เป็นราคาที่ศึกษากันมาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลก่อนทั้งสิ้น ทุกหน่วยงานทั้งกรมบัญชีกลางและตัวแทนกฤษฎีกาก็ระบุว่า กกพ.ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องแล้ว และ กกพ.ยังชิงประกาศก่อน โดยเมื่อประกาศผลแล้วก็ต้องเดินหน้าตามนั้น ไม่สามารถยกเลิกได้ ซึ่งตนเองเป็นคนหนึ่งที่ถามว่า การทำเช่นนี้ถูกต้องตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้างและกฎหมายหรือไม่ คนที่กำกับดูแลเรื่องนี้บอกว่าถูกต้อง แล้วจะให้ทำอย่างไร ส่วนที่ระบุว่า จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้นยินดีอย่างยิ่ง และถ้าต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ยินดีมอบให้ทั้งหมด จะได้รู้กันเสียทีว่า คนที่ควรต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คือใคร 

พีระพันธุ์ยังระบุอีกด้วยว่า ขณะนี้ตนเองและรัฐบาลทั้ง 2 รัฐบาล คือรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร อยู่ระหว่างแก้ปัญหา โดยนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คนถือเป็นประธาน กพช.โดยตำแหน่ง

“อีกส่วนคือเรื่องการรับซื้อจากโซลาร์ของประชาชน ส่วนหนึ่งท่านก็รู้ ปัญหาของวันนี้ เรื่องพลังงานเรา ที่มันมีปัญหายุ่งวุ่นวาย เพราะมันอยู่ภายใต้การครอบงำ ผมและรัฐบาลชุดนี้กำลังแก้ปัญหานี้อยู่ ทั้งหมดอยู่ที่แผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (PDP) จะรับซื้อเท่าไร มาเท่าไร อยู่ที่แผน PDP มติ กพช.มีมติที่จะมีการตั้งคณะกรรมการจัดทำแผน PDP ชุดใหม่ และจะทำสิ่งที่ท่านพูดทั้งหมด” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวด้วยว่า ทุกประเทศ เมื่อจะทำแผนผลิตไฟฟ้า ต้องดูว่ามีวัตถุดิบใดบ้างที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ โดยเฉพาะที่ทำให้เกิดพลังงานสะอาดต้องให้โควตาตรงนั้นเป็นอันดับ 1 ค่อยลดหลั่นกันไป หากไม่พอก็ใช้พลังงานจากแก๊ส และหากแก๊สไม่พอก็ต้องนำเข้า LNG จึงต้องเพิ่มการผลิตจากวัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น

อีกข้อคือหน่วยงานหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิต หากผลิตไม่ทันและไม่พอก็ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมและไม่ผูกขาด โดยหากประเทศไทยมีวัตถุดิบเยอะ เช่น พืชไร่ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ก็สามารถรับซื้อจากประชาชนให้เกิดพลังงานสะอาด โดยรอแผน PDP ฉบับใหม่

จากนั้นศุภโชติตั้งคำถามถึงโครงการ LNG Terminal แห่งใหม่ แห่งที่ 3 ซึ่งหากความสำคัญของก๊าซธรรมชาติลดลง เพราะเหตุใดต้องสร้าง LNG Terminal แห่งใหม่มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากไม่ได้ใช้ก็จะถูกส่งต่อเป็นภาระค่าไฟประชาชน อีกทั้งตามมติการประชุม กพช. โครงการนี้ยังแอบซุกอยู่ในค่าไฟประชาชน ฉะนั้นรัฐบาลต้องเอาโครงการนี้ออกจากแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ ให้เป็นทรัพย์สินที่แบกรับความเสี่ยงโดยเจ้าของโครงการ ไม่ใช่สร้างมาแล้วคนได้กำไรคือเอกชน แต่คนแบกต้นทุนคือประชาชน

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานระบุทิ้งท้ายว่า อะไรที่ทำได้ก็จะทำทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้นายทุนถึงไม่ชอบ ส่วนเรื่อง LNG Terminal แห่งที่ 3 ขอขอบคุณที่พูด ขอให้พูดต่อไปและส่งข้อมูลมาให้ด้วย

Tags: , ,