เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่านเพิ่งนำภาพยนตร์ของ โอลิวิเยร์ อัสซายาส (Olivier Assayas) คนทำหนังชาวฝรั่งเศส กลับมาให้ชมบนจอใหญ่ 2 เรื่อง ได้แก่ Irma Vep (1996) และ Summer Hours (2008) เราจึงใช้โอกาสนี้แนะนำ ‘ภาพใหญ่’ ของหนังแบบอัสซายาส หากว่ามีผู้อ่านคนไหนสนใจตามเก็บหนังเรื่องอื่นๆ ของเขา

อัสซายาสเติบโตขึ้นมาในครอบครัวศิลปิน พ่อของเขาเป็นคนเขียนบทและแม่เป็นนักออกแบบ เขาอธิบายชีวิตวัยเด็กของตัวเองอย่างย่นย่อว่า แวดล้อมด้วยศิลปะและองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

“ผมอยากเป็นคนทำหนังตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าใจด้วยซ้ำว่า การทำหนังคืออะไร คงเพราะพ่อเป็นคนเขียนบทด้วยแหละ” เขาบอก “พ่อมีเพื่อนเป็นผู้กำกับที่มักมาหาเราที่บ้านเพื่อคุยเรื่องงาน ผมเองก็เคยไปออกกองกับพ่อ 2-3 ครั้ง” 

ฌัก เรมี หรือเรย์มอนด์ อัสซายาส พ่อของเขาเป็นหนึ่งในคนเขียนบทยุค Classic French Cinema จากหนังดังของยุคนั้นอย่าง Les maudits (1947), Si tous les gars du monde… (1956) และ La chatte (1958) ซึ่งในเวลาต่อมา หนังคลาสสิกกลุ่มนี้ถูกคนทำหนังรุ่นใหม่ (ในเวลานั้น) สับเละและก่อกำเนิดเป็นยุค French New Wave ที่เปลี่ยนองคาพยพของภาษาภาพยนตร์ฝรั่งเศสทั้งมวล ทั้งยังผลให้อัสซายาสคนพ่อต้องขยับไปเขียนบทให้รายการโทรทัศน์ เนื่องจากภาษาภาพยนตร์แบบคลาสสิกไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไปแล้ว 

“แต่รายการโทรทัศน์ไม่ดึงดูดผมเลย ผมไม่เคยชอบดูโทรทัศน์และไม่คิดด้วยว่า พ่อชอบงานที่ตัวเองทำจริงๆ” อัสซายาสบอก “เขาเป็นนักเล่าเรื่อง ชอบที่จะได้เล่าเรื่องราวต่างๆ เขาไม่ได้คิดว่าภาพยนตร์เป็นศิลปะ และก็คงไม่ได้คิดว่าการเขียนบท การกำกับหนังเป็นศิลปะหรืออะไรทั้งนั้น พ่อแค่ชอบทำงานนี้และคิดว่าศิลปะคืองานวรรณกรรม งานวาดภาพหรือดนตรีมากกว่า”

อัสซายาสกระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยการทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พ่อและเพื่อนของพ่อจะหยิบยื่นให้ ช่วงแรกๆ เขาเข้าไปขลุกในบริษัทของเพื่อนฌักที่นำเข้าหนังเกรดบี เปิดโลกอัสซายาสไปสู่จักรวาลหนังเพี้ยนคลั่งมหาศาล (“มันมีหนังที่พูดถึงชีวิตเซ็กซ์ของแฟรงก์เกนสไตน์ด้วยนะ”) ขณะเดียวกันเขาก็ตะบี้ตะบันไล่ดูหนังแทบทุกเรื่องที่เข้าโรงภาพยนตร์ในเวลานั้น

ประจวบเหมาะกับช่วงที่เขาเติบโต เป็นช่วงเวลาที่ปารีสและฝรั่งเศส จะว่าไปก็ทั่วทั้งโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองครั้งใหญ่ โลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคหลังสงครามโลกและพลิกหน้าประวัติศาสตร์ไปสู่สงครามเย็น โดยเฉพาะในปี 1968 ที่เกิดการประท้วง เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศสครั้งใหญ่ เป็นที่รู้จักในชื่อเหตุการณ์ May’68 ซึ่งเริ่มจากการประท้วงโดยกลุ่มนักศึกษา และขยายใหญ่เป็นการประท้วงของผู้คนในเวลาต่อมา ทั้งในภาพใหญ่มันก็ส่งผลต่ออุตสาหกรรมหนังโดยรวมด้วย 

“ยุคสมัย 70s-80s มันเป็นยุคที่อุตสาหกรรมหนังต่างไปจากประสบการณ์ที่คุณรู้จักสุดๆ นี่ผมไม่ได้พูดเรื่องการเมืองนะ ผมพูดถึงศิลปะ พูดถึงวัฒนธรรมต่อต้าน (Counter-culture) พูดถึงดนตรีนะ การได้มีส่วนร่วมในปรากฏการณ์นี้มันน่าตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย!”

หนังยาวเรื่องแรกของอัสซายาสคือ Disorder (1986) ที่เริ่มมาก็เห็นเค้าลางความเฮี้ยนทันที หนังเล่าเรื่องวัยรุ่น 3 คนที่บุกเข้าไปขโมยเครื่องดนตรีมาใช้ในวงโพสต์-พังก์ของตัวเอง แล้วดันสติแตกฆ่าเจ้าของร้านเข้า และว่าไปแล้ว คำวิจารณ์ของหนังก็ไม่ได้ออกมาดีเลิศนัก นักวิจารณ์หลายคนมองว่า ตัวหนังยัง ‘ขาดๆ เกินๆ’ ตามประสาหนังเรื่องแรก หากแต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มันฉายภาพโลกที่อัสซายาสเห็น ผ่านความขบถของตัวละครหนุ่มสาว โลกซึ่งผู้ใหญ่พึ่งพาไม่ได้ รวมทั้งการจับจ้องไปยังเรื่องความตาย

 “มันเป็นหนังเรื่องแรกของผม อะไรต่อมิอะไรเลยผสมปนเปกันเต็มไปหมด” อัสซายาสบอก “เป็นเหมือนภาพส่วนตัวของช่วงชีวิตหนึ่งในชีวิตผม มันเป็นภาพแทนของทุกอย่างที่ผมรู้จักในตอนนั้น แล้วมันสากลมากด้วย”

หนังที่ส่งอัสซายาสให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างคือ Cold Water (1994) ที่เข้าฉายในสายประกวด Un Certain Regard ของเทศกาลหนังเมืองคานส์ ว่าไปแล้วมันคือการเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่อัสซายาสประสบพบเจอเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น มาประกอบสร้างเป็นหนังว่าด้วยวัยรุ่น 2 คนในยุค 1970s ครินตีน (แสดงโดย แวร์ฌีนี เลอดัวญอง) และฌีลส์ (แสดงโดย ซีพริออง ฟูเควต) พวกเขาชิงชังครอบครัวตัวเอง ผิดหวังต่อพ่อแม่ซึ่งจำยอมต่อชีวิตและกลายเป็นแค่ ‘คนธรรมดา’ ไร้แรงบันดาลใจ ไม่มีพลัง

คริสตีนและฌีลส์ประคองชีวิตด้วยเซ็กซ์และแอบลักเล็กขโมยน้อย ซึ่งเป็นไปเพื่อสร้างความรื่นรมย์และความน่าตื่นเต้นมากกว่าจะเดือดร้อนจริงจัง แต่แล้วคริสตีนก็ถูกจับให้ไปอยู่ในบ้านพักสำหรับเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหาครอบครัว เธอกระเสือกกระสนหนีออกมาหาฌีลส์และวิ่งเตลิดหายเข้าไปในป่าด้วยกัน ในป่าแห่งนั้น พวกเขาพบกลุ่มศิลปินที่ใช้ชีวิตในธรรมชาติ ในความหมายว่าไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปา และนี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องสั่นคลอน

  ตัวหนังอยู่ในโปรเจกต์ Tous les garçons et les filles de leur âge… เป็นโปรเจกต์ที่ชวนคนทำหนังหน้าใหม่ของฝรั่งเศสในยุคนั้น ทำหนังว่าด้วย ‘วัยหนุ่มสาวของตัวเอง’ โดยนอกจากอัสซายาสแล้วยังมี ฌองตาล อักเคอร์มัน และแคลร์ เดนิส อยู่ในโปรเจกต์นี้ด้วย โดย Cold Water ถ่ายทำด้วยกล้อง 16 มม. บอกเล่าถึงบรรยากาศของความเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศสช่วงต้นยุค 70s หรือหลังจากเหตุการณ์ May ’68 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาลุกฮือประท้วงและขยับขยายกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ของปารีส 

“มันก็ย้อนแย้งดีนะ เพราะมันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมทำหนังตามโจทย์ที่ได้รับมอบหมายมา แต่มันก็เป็นโจทย์ที่อนุญาตให้เราทำเรื่องที่แสนจะส่วนตัวได้ และว่าไปแล้วมันก็ส่งอิทธิพลต่องานผมในระยะหลังมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก” เขาบอก “อีกอย่างคือผมเดาว่า ตอนนั้นผมน่าจะเหนื่อยหน่ายกับภาระของการทำหนังด้วยมั้ง เหนื่อยกับกล้อง 35 มม. เหนื่อยกับการต้องจัดคิวงานดารา ไหนจะกดดันที่หนังต้องทำเงินอีก

  “ผมพินิจไปยังความเข้มข้นของอดีตตัวเอง ทำงานกับวัยรุ่นที่ไม่ใช่ดาราดัง ใช้กล้อง 16 มม. ถ่ายทำแทนที่จะเป็นกล้องพานาวิชชันขนาดยักษ์ที่ผมใช้ในหนังเรื่องก่อนๆ แล้วจู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่า ทุกอย่างมันดูเบาบาง เรียบง่ายขึ้น” เขาบอก “มันเหมือนเปิดบทใหม่ให้ชีวิตผมและหน้าที่การงานผมเลย

  “และบอกตรงๆ นะว่า ถ้าไม่ได้ทำหนังอย่าง Cold Water ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ทำหนังแบบ Irma Vep แน่ๆ”

  Irma Vep นับเป็นความทะเยอทะยานอย่างที่สุดของอัสซายาส เพราะมีทั้งอารมณ์ขันเสียดสีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทั้งการเคารพบูชาวงการหนังฝรั่งเศส และความรักที่เขามีต่อวงการนี้ บอกเล่าผ่านความวายป่วงของการทำหนังเรื่อง Irma Vep ของผู้กำกับ เรอเน (ฌ็อง-ปิแอร์ ลูด) ที่อยากคารวะหนังเงียบในตำนานของฝรั่งเศสอย่าง Les Vampires (1915) ของ หลุยส์ เฟอีย์ลาด เขาจึงทำหนังรีเมคขึ้นมาและตีความใหม่ทั้งหมด โดยให้นักแสดงฮ่องกง แม็กกี จาง (รับบทเป็นตัวเอง) มารับบทเป็น เออร์มา เวป สายลับสาวที่ต้องสวมชุดหนังรัดรูปทั้งเรื่อง และความอลหม่านก็ระเบิดตัวตั้งแต่ที่แม็กกีเดินทางมาถึงฝรั่งเศส ทุกลำดับขั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ความงุนงงของทั้งเธอและทีมงานคนอื่นๆ ซึ่งรากทั้งหมดก็มาจากความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเรอเนซึ่งเป็นผู้กำกับ

เท่ากันกับที่หนังเสียดสีกระบวนการถ่ายทำหนังในอุตสาหกรรมที่วุ่นวาย บรรลัยและทำเสียสุขภาพจิต มันยังมีน้ำเสียงแซะความ ‘หัวสูง’ ของคนทำหนังฝรั่งเศส เท่ากันกับที่มันก็ตั้งคำถามต่อความใหญ่โตของฮอลลีวูด โดยทั้งหมดนี้เล่าคู่ขนานกันไปกับชีวิตของแม็กกีที่ไปปาร์ตี้กับทีมงาน หรือกระหืดกระหอบไปปลอบประโลมผู้กำกับที่ดันสติแตกขึ้นมาระหว่างทาง กับซีเควนซ์สุดท้ายที่แสนจะทดลองและบ้าพลังสุดๆ 

“ผมสงสัยว่าเราจะใช้สื่อภาพยนตร์สมัยใหม่ สร้างนิยามความสัมพันธ์ระหว่างงานภาพ การเล่าเรื่องและความเป็นแฟนตาซีได้ไหม” อัสซายาสบอก “เราจะบุกเบิกในสิ่งที่เฟอีย์ลาดทำกับภาพยนตร์ไว้ได้ไหม และนี่แหละผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะจับจ้อง หรือเก็บมวลความรู้สึกไว้ เพราะในยุคหนังเงียบ ทุกอย่างมันถูกถ่ายทำเป็นครั้งแรก เฟอีย์ลาดไม่มีรูปแบบหรือโครงสร้างอะไร ทุกช็อต -กระทั่งช็อตที่รถขับผ่านหน้ากล้อง- ก็ถือเป็นหมุดหมายใหม่ทั้งนั้น คำถามคือ ผมจะถ่ายทำสิ่งนี้ยังไง ผมจะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้กับคนดูอย่างไร คนจะเข้าใจหนังยังไงบ้าง

  “สำหรับผม Irma Vep มันเป็นหนังที่ว่าด้วยความสง่างามนะ” อัสซายาสกล่าว 

“แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทั้งอยู่และไม่อยู่ในหนัง ทั้งมองเห็นได้และมองไม่เห็น และไม่ว่าตัวละครของแม็กกีจะมหัศจรรย์แค่ไหน คือเธอมีสิ่งที่ตัวละครบางตัวเห็นและบางตัวก็ไม่เห็น และเป็นเกมที่ตัวหนังเล่นกับคนดูด้วย เพราะคนดูก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน คนดูอาจเห็นหรือไม่เห็นความสง่าในตัวละครนี้ก็ได้ทั้งนั้น และนี่แหละคือความลึกลับของมัน ภาพยนตร์มันมีหลายชั้นและนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชั้นที่ว่านั้น”

 

  นอกจาก Irma Vep แล้ว Summer Hours (2008) คือหนังอีกเรื่องที่เข้าฉายในโรงเฮ้าส์ พล็อตหนังแสนสามัญ กล่าวคือมันว่าด้วยลูกสามคนกลับไปฉลองงานวันเกิดกับแม่ เอเลน (อีดิท ชูบ) พร้อมพาลูกหลานตัวเองไปด้วย เฟเดอริก (ชาร์ลส์ แบร์ลิง) พี่ใหญ่ของบ้าน ทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในฝรั่งเศส, เยเรมี (เยเรมี ไรแนร์) ลูกชายคนรองไปทำงานในประเทศจีน และ อาเดรียนเนอ (จูเลียตต์ บินอช) ลูกสาวไปทำงานอยู่สหรัฐฯ นานๆ ทีพวกเขาจึงจะได้กลับมาเยี่ยมแม่ 

โดยระหว่างนั้น เอเลนพาเฟเดอริกไปสำรวจข้าวของและมรดกที่เธอจะให้เขาจัดการหลังเธอตายจากลง เฟเดอริกรับฟังโดยไม่ทันคาดคิดว่า หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน แม่จะจากไปจริงๆ ทิ้งบ้านอันแสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยความทรงจำไว้ กับน้องๆ ที่พินิจพิเคราะห์ถึงการเก็บบ้านหลังนี้ไว้ด้วยสายตาไต่ถาม

  หากมองในภาพใหญ่ ก็ราวกับอัสซายาสกำลังตั้งคำถามต่อประเทศฝรั่งเศสในปีนั้น ความไร้พลังของมันทั้งในฐานะการเมืองและเศรษฐกิจโลก ตัวละครฝรั่งเศสไม่ได้ใช้ชีวิตในฝรั่งเศส น้องคนกลางทำมาหากินในตะวันออก ที่กำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจด้านการเงินในอีกไม่กี่ปีต่อมา ส่วนน้องสาวก็ใช้ชีวิตในสหรัฐฯ แยกห่างจากคนอื่นๆ คนเดียวที่ยังยึดโยงอยู่กับบ้านคือพี่ชายที่ใช้ชีวิตในฝรั่งเศส 

หากแต่บ้านก็ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อน้องๆ ของเขา และการปล่อยไว้ก็รังแต่จะมีค่าใช้จ่ายจุกจิกที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร หรือแม้แต่มรดกตกทอดที่แม่ทิ้งไว้ให้ ก็หาได้มีคนสนใจความหมายหรือคุณค่ามันจริงจังขนาดนั้น และอาจลงเอยที่พิพิธภัณฑ์สักแห่ง

  “ผมเริ่มต้นด้วยการพินิจสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ มองย้อนกลับไปยังต้นธารของมัน ไกลขึ้น ไกลขึ้นเรื่อยๆ และตระหนักได้ว่า หากอยากจะเข้าใจสิ่งของในพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ ผมก็ต้องเข้าใจที่มาที่ไปของพวกมันก่อน มันถูกขายได้อย่างไร ก่อนนี้มันสำคัญสำหรับใครบางคนมาก่อนหรือเปล่า มันมาลงเอยในตลาดและอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อย่างไร และผมก็คิดว่า ต้องพาเรื่องในหนังไปที่การขายบ้านในชนบทของครอบครัวหนึ่งให้ได้” อัสซายาสสาธยาย

  “อีกอย่างนะ ผมสนใจเวลาที่คนเราต้องจัดการกับสถานการณ์ยากๆ ทั้งวิกฤติ ทั้งความโศกเศร้า ด้วยหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ในเวลานั้น และตอนผมถ่ายทำเรื่องนี้ ผมก็อยากสำรวจตัวละครทุกตัวอย่างใกล้ชิดที่สุด ผมอยากเข้าใจเหตุผลของพวกเขาแต่ละคน หากว่าถึงจุดหนึ่ง ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาทำ ก็แปลว่าผมกำลังทำอะไรบางอย่างพลาดไปแน่ๆ”

 

  อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นหนังขึ้นชื่อของอัสซายาส (แถมกำลังจะครบ 10 ปีด้วย) คือ Personal Shopper (2016) หนังเล่าเรื่องของ มัวรีน (คริสเตน สจวร์ต) สาวอเมริกันที่ทำงานในปารีส หน้าที่ของเธอคือการลองเสื้อผ้าให้คนดังก่อนจะถูกนำไปใช้งานจริง หากแต่หนังไม่ได้จับจ้องไปยังหน้าที่การงานของมัวรีนโดยตรง หากแต่มันพินิจไปยังสภาวะจิตใจของเธอที่เปราะบาง อ่อนไหว จากเหตุการณ์พี่ชายฝาแฝดเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว และเธอเฝ้ารอให้เขาติดต่อกลับมายังโลกหลังความตาย อีกไม่นานหลังจากนั้น เธอได้รับข้อความลึกลับจากผู้ส่งไม่ระบุนาม ซึ่งเธอเชื่อว่า เป็นข้อความจากฝาแฝดในอีกดินแดนหนึ่งที่เธอยังข้ามไปไม่ถึง

  จะว่าเป็นหนังผีก็ใช่ หรือจะว่าเป็นหนังทริลเลอร์ที่สำรวจสภาพจิตใจเครียดเขม็งของตัวละครก็ไม่ผิด “ผมเชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว!” อัสซายาสบอกอย่างอารมณ์ดี “เราเชื่อกันทั้งนั้นแหละ แต่แค่มันอาจไม่ใช่ในนิยามของคำว่าผีโดยตรง ผมไม่ได้เชื่อในสิ่งมีชีวิตลึกลับหรือสารที่ล่องลอยอยู่รอบตัวพวกเราหรอก แต่ผมเชื่อว่าเราอาศัยอยู่ร่วมกับผี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเชื่อมโยงด้วยได้ ผีคือความสัมพันธ์ที่เรามีต่อความทรงจำ คือความสัมพันธ์ที่เรามีต่อจิตใต้สำนึก มันคือความเชื่อที่ว่ามันมีอะไรมากมายอยู่เหนือจากโลกที่เป็นรูปธรรมแบบนี้น่ะ”

  “ผมอยากทำหนังที่สำรวจความตึงเครียดของโลกที่เราอยู่ โลกที่เราต้องทำงาน โลกที่เต็มไปด้วยวัตถุ กับโลกที่เราจินตนาการถึง โลกซึ่งเต็มไปด้วยความฝันกับแฟนตาซี และตอนนี้เราก็อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุ เราจึงคิดว่าสิ่งสำคัญในชีวิตเราคือวัตถุไปด้วย หากแต่ในความเป็นจริง เราก็สัมผัสประสบการณ์อันเข้มข้นผ่านจินตนาการของเรา ที่แม้จะถ่ายทอดออกมาได้ยาก แต่ผมว่าภาพยนตร์มันทำได้นะ”

  และยิ่งถอยห่างออกมามองในภาพใหญ่ ก็น่าสนใจว่า หนังของอัสซายาสนั้น พ้นไปจากการที่มักพูดเรื่องความตาย ก็ยังตั้งคำถามต่อความเป็นภาพยนตร์ และรูปแบบฟอร์มของมันในการพาคนดูไปสำรวจประเด็นอันแสนละเอียดอ่อนและมีหัวจิตหัวใจอยู่เสมอด้วย

Tags: , , , , , , , ,