ต้นยุค 90s ชายหนุ่มชาวอังกฤษออกเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ไม่เพียงแต่ทะเลและสายลมร้อนจะอ้าแขนต้อนรับเขา แต่ยังรวมถึงเหล้า บุหรี่และกลุ่มคนลึกลับที่ทำให้ความทรงจำของเขาบิดพร่าเลือน ไม่นานหลังจากนั้น เขาเดินทางกลับไปยังเกาะอังกฤษ รีดเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นออกมาเป็นนิยายเล่มแรกของชีวิตในชื่อ The Beach (1996) และมันประสบความสำเร็จมหาศาล ถูกขนานนามว่า เป็น ‘นิยายที่เป็นภาพแทนของคนเจนเนอเรชัน x’ และแจ้งเกิดชื่อ อเล็กซ์ การ์แลนด์ นักเขียนชาวอังกฤษทันที

4 ปีต่อมา นิยายถูกหยิบไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันปี 2000 กำกับโดย แดนนี บอยล์ คนทำหนังชาวอังกฤษที่ได้ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ มาแสดงนำ และก็อาจเป็นตอนนั้นเองที่ชื่อของการ์แลนด์ข้ามสายเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วย

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะโตมาเป็นนักเขียนหรอก” เขาให้สัมภาษณ์นิตยสาร Lightspeed แถมยังบอกว่า หากจะมีสักอย่างที่น่าจะเป็นมากกว่านักเขียนคือการเป็นนักวาดการ์ตูนคอมิก ซึ่งเขาหมกมุ่นหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก “สมัยผมอายุ 21 ปี ผมก็เอาแต่วาดการ์ตูน หัดเขียนเรื่องอะไรต่อมิอะไร ไม่รู้จักนักเขียนคนไหนเลยด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ คือเรียนรู้เอาเองล้วนๆ

“แต่ก็น่าจะเป็นตอนนั้นเหมือนกัน ที่ผมรู้ตัวว่า ผมวาดรูปได้ไม่ดีเท่าไร และคงไม่มีวันเก่งได้เท่าที่ใจอยากแน่ๆ เพราะผมวาดมาจนเข้าใจดีว่า ข้อจำกัดตัวเองมีอะไรบ้าง ผมเลยหยุดวาดรูปแล้วหันไปใช้คำเพื่อเล่าเรื่องแทนน่ะ”

และตัวการ์แลนด์ในวัย 20 กว่าปี อาจไม่ได้จินตนาการว่า ตัวเขาในอีก 2 ทศวรรษให้หลัง จะกลายมาเป็นคนทำหนังเช่น

WARFARE (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของเขาที่กำกับร่วมกับ เรย์ เมนโดซา อดีตศึกทหารผ่านศึกและดัดแปลงมาจากประสบการณ์จริงของเมนโดซา สมัยที่เขาประจำการอยู่ในอิรักช่วงปี 2006 ว่าด้วยนายทหารสหรัฐฯ กลุ่มหนึ่งติดอยู่ในอาคารหลังหนึ่งขณะออกปฏิบัติการทางทหาร พร้อมกับโดนล้อมรอบด้วยอาวุธหนักจนแทบไม่เห็นทางออก

สมัยที่การ์แลนด์กำกับ Civil War (2024) เมนโดซาได้ร่วมงานกับเขาในฐานะที่ปรึกษาด้านความสมจริงเรื่องการทหาร และนับแต่นั้น ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะร่วมทำหนังด้วยกันสักเรื่อง โดยอิงมาจากประสบการณ์สมัยอยู่ในสมรภูมิของเมนโดซา และนั่นจึงเป็นที่มาของ WARFARE ซึ่งสร้างขึ้นจากเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมง โดยเมนโดซากับเพื่อนร่วมทีมติดอยู่ในอาคาร และถูกล้อมรอบด้วยศัตรูที่หมายหัวเอาชีวิตพวกเขา ทางรอดเดียวคือต้องรอให้นายทหารอีกทีมหนึ่งขับรถถังมารับ แต่ระยะไม่กี่เมตรจากประตูอาคารไปถึงตัวรถนั้นก็เป็นเส้นแบ่งความเป็นและความตายเช่นกัน

“หนังมันต้องสัตย์จริงมากๆ อะไรที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์จริง เราก็จะเล่าตามนั้น” การ์แลนด์บอก เป็นเหตุผลว่าทำไมหนังอุทิศเกือบ 20 นาทีแรกไปกับการจับจ้องนายทหารที่เฝ้ามองผู้คนจากกระบอกปืน หรือนั่งๆ นอนๆ รอคอยเวลาเดินออกจากอาคารกลับไปยังพื้นที่ประจำการ “หนังมันกลางๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นนะ เราก็เป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามซื่อสัตย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

และแม้จะเป็นหนังที่สร้างมาจากความทรงจำโดยตรงของเมนโดซา แต่เขากับการ์แลนด์ก็ยังต้องตระเวนสัมภาษณ์คนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ร่วมกัน และกลั่นออกมาโดยบิดพลิ้วมันจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงให้น้อยที่สุด “หนึ่งในกฎระหว่างถ่ายทำคือ ห้ามให้ใครก็ตามแทรกอะไรเข้าไปในซีเควนซ์หรือเหตุการณ์เด็ดขาด ถ้าสิ่งนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นแต่แรก” การ์แลนด์บอก “ถ้ามีคนมาบอกว่า ‘แต่เหตุการณ์จริงมันเป็นแบบนี้นี่นา’ คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่มีสิทธิในการอนุญาตให้เพิ่มหรือลดทอนฉากนั้นเด็ดขาด แม้แต่ตัวผมเองก็ตาม เพราะอย่างนั้น การเขียนบท การเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่คุณเห็นว่าเป็นผลมาจากนักเขียน ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของเรย์ ที่ผมทำก็แค่ร่างโครงขึ้นมาในฐานะคนเขียนบทน่ะ”

WARFARE ได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นหนังที่เน้นความสมจริง พร้อมกันกับที่นักวิจารณ์หลายฝ่ายก็พินิจพิเคราะห์ว่าอาจเป็นหนัง (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ที่ให้ความรู้สึกถึงการโหยหาอดีตของสหรัฐฯ และยกย่องการรุกคืบเข้าไปทำสงครามในอิรักของ จอร์จ บุช

อย่างไรก็ดี WARFARE เป็นหนังเรื่องแรกที่การ์แลนด์กำกับร่วม ก่อนหน้านี้เขากำกับหนังคนเดียว และว่าไปก็โดดเด่นในแง่การเป็นคนเขียนบทมากกว่ากำกับด้วยซ้ำ อันจะเห็นได้จากการเป็นคนเขียนบทคู่ใจแดนนี บอยล์อยู่พักหนึ่งจาก 28 Days Later (2002), Sunshine (2007) และล่าสุดคือ 28 Years Later (2025)

การ์แลนด์แจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์จริงจังจากการกำกับ Ex Machina (2014) ที่ส่งเขาเข้าชิงออสการ์สาขาเขียนบทยอดเยี่ยม หนังเล่าถึง คาเลบ (ดอมเนลล์ กลีสัน) นักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่ถูกเลือกให้ไปร่วมโครงการทดลองลึกลับ ระหว่างมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ เพื่อทดสอบว่าปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นเป็นมนุษย์มากพอหรือไม่ 

และเขาได้เจอ เอวา (อลิเซีย วิกานเดอร์) หุ่นยนต์สาวที่สนทนาได้ในระดับเดียวกับมนุษย์ ทั้งยังดูลึกซึ้งกว่าหุ่นทั่วไปเมื่อเธอดูจะมีสำนึกข้างในใจบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่หุ่นทั่วไปไม่อาจมี แน่นอนว่าสำหรับคาเลบแล้วนี่ย่อมเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้น แต่อีกด้านก็แฝงมากับความกังวลในด้านจริยธรรมและความถูกต้องบางประการ โดยเฉพาะเมื่อ นาทาน (ออสการ์ ไอแซก) ประธานบริษัทผู้เป็นเจ้าของปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ ดูจะเก็บงำความลับและความต้องการดำมืดบางอย่างไว้

โปรเจกต์ Ex Machina อยู่กับการ์แลนด์ตั้งแต่เขายังวัยรุ่น อันที่จริง มันเป็นความสงสัยของเด็กหนุ่มต่อเทคโนโลยีและระบบคอมพิวเตอร์ในช่วงปลายยุค 80s ที่เข้ามาเขย่าโลกทั้งใบในเวลานั้น ก่อนที่เทคโนโลยีจะทำให้ไอเดียเรื่องปัญญาประดิษฐ์ชัดเจนขึ้นในอีกทศวรรษให้หลัง และงอกเงยออกมาเป็นบทหนังสมบูรณ์แบบ

“ผมสนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์มากๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่ามันเชื่อมโยงกับสำนึกรู้​ (Consciousness) ของมนุษย์อย่างไร เพราะสำนึกรู้นี่แหละเป็นตัวประเมินคุณค่าที่มนุษย์มีต่อกัน เหมือนมันเป็นฐานรากในใจเราอยู่แล้ว มันคือวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กัน เคารพกันและกัน” การ์แลนด์บอก “และพอพูดประเด็นนี้กับปัญญาประดิษฐ์ ผมก็คิดว่ามันมีความเกรงกลัวบางอย่างอยู่ ซึ่งนี่แหละที่ผมสนใจสำรวจ เพราะมันผิดฝาผิดตัวไปหมดเลยน่ะสิ!”

สิ่งที่การ์แลนด์สนใจ และทำให้ Ex Machina ไม่ได้เป็นแค่หนังว่าด้วยหุ่นยนต์กับมนุษย์ทั่วไป คือการสำรวจปัจจัยสำคัญของเทคโนโลยีอย่างบรรษัทยักษ์ใหญ่และนายทุนต่างหาก อันจะเห็นได้จากความหมกมุ่น หลงตัวเองของตัวละครนาทานในเรื่อง “เงื่อนไขสำคัญคือพวกบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ยักษ์ และอินเทอร์เน็ตกับโซเชียลมีเดีย อะไรต่ออะไรเหล่านั้นต่างหาก” เขาบอก “ผมว่าเราต่างมีความรู้สึกร่วมกันบางแบบ นั่นคือเราไม่เข้าใจถ่องแท้หรอกว่าโทรศัพท์มือถือหรือแล็ปท็อปเราทำงานยังไง แต่ไอ้ข้าวของพวกนี้สิ ดูมันจะเข้าอกเข้าใจเรามากทีเดียว”

Annihilation (2018) คือหนังยาวลำดับต่อมาของการ์แลนด์ ดัดแปลงอย่างหลวมๆ มาจากนิยายชื่อเดียวกันในปี 2014 ของ เจฟฟ์ แสนเดอร์เมียร์ เล่าถึงช่วงเวลาแสนพิศวงเมื่ออุกกาบาตพุ่งชนโลก ก่อให้เกิดม่านสีรุ้งประหลาดที่ไม่ว่าทางการจะส่งนายทหารออกไปสำรวจสักกี่รอบ แต่ละคนที่กลับมาก็ตกอยู่ในภาวะแปลกประหลาด หรือคล้ายกลืนกลายเป็นอื่นที่ต่างไปจากเดิม ลีนา (นาตาลี พอร์ตแมน) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกส่งตัวไปสำรวจพื้นที่ประหลาดแห่งนั้น ร่วมกับทีมงานหญิงอีก 4 คนที่ต่างเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์กันคนละแขนง และแบกบาดแผลบางอย่างติดตัวไว้คนละรูปแบบ และพบกับสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์อันเนื่องมาจากได้รับสารประหลาดจากม่านสีรุ้งนั้น ซึ่งนำมายังคำถามที่ว่าด้วยเป้าประสงค์ของการมีชีวิต และการทำลายตัวเองของมนุษย์ ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

มองในภาพใหญ่ การ์แลนด์ดูจะสนใจภาวะที่มนุษย์เผชิญหน้ากับความท้าทายบางอย่าง ไม่ว่าจะความท้าทายในเชิงเทคโนโลยี หรือความท้าทายในเชิงสิ่งเร้าจากภายในเนื้อตัว กรณีของ Annihilation ที่แม้หน้าหนังดูจะพูดถึงเรื่องราวแสนวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะการกลายพันธุ์ การแบ่งเซลล์อันซับซ้อน แต่อีกด้าน มันก็พูดถึงประเด็นปรัชญาอย่างความตายและการถือกำเนิดใหม่ เมื่อตัวละครย้ำซ้ำๆ ว่า สิ่งมีชีวิตล้วนมีจุดที่เซลล์ในร่างกายจะทำลายตัวเอง หรือก็คือหยุดพัฒนาและหยุดแบ่งร่าง ซึ่งจะยังผลให้เจ้าของร่างหยุดทำงานอันหมายถึงความตายไปด้วย

เช่นนั้นแล้ว ทำไมเรือนร่างของสิ่งมีชีวิตจึงมีกลไกในการ ‘ทำให้ตาย’ หนังชวนสำรวจถึงความซับซ้อนในการมีชีวิต การแบ่งเซลล์คือการเกิดใหม่ในนามของการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือบาดแผลต่างๆ ของร่างกาย และในร่างกายเดียวกันนั้น เซลล์ก็มีกลไกในการหยุดพัฒนาหรือหยุดซ่อมแซมเพื่อตาย เท่ากับว่าโดยแท้จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนอยู่คู่กับความตายมาตั้งแต่ต้น ทั้งตัวละครก็มีแนวโน้มจะทำลายตัวเองด้วยนิสัยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งการทำร้ายร่างกายโดยตรง (อันจะเห็นได้จากริ้วรอยแผลบนท่อนแขน) หรือติดเหล้า

Annihilation เป็นหนึ่งที่กวาดคำชมไม่น้อยหลังมันออกฉาย โดยเฉพาะการตั้งคำถามที่ว่าด้วยการมีชีวิตและความตาย รวมทั้งในแง่วิชวลที่การ์แลนด์สร้างความมหัศจรรย์และโลกแห่งการกลายพันธุ์อันลี้ลับออกมาได้อย่างตระการตา

จุดร่วมอีกประการหนึ่งในหนังของการ์แลนด์ คือเขามักถ่ายทอดเรื่องราวหรือเหลี่ยมมุมบางประการผ่านตัวละครหญิง ไม่ว่าจะหุ่นยนต์เอวาหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องรับมือกับการกลายพันธุ์พิศวง เช่นเดียวกับ Men (2022) หนังยาวเรื่องต่อมาของเขา ที่เล่าผ่านชีวิตของ ฮาร์เปอร์ (เจสซี บัคลีย์) แม่ม่ายสาวที่สามีเพิ่งเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เธอออกเดินทางไปพักผ่อนในชนบทเพื่อพักใจจากความเครียดเขม็งทั้งปวง มิหนำซ้ำ หนังยังฉายให้เห็นว่าที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีก็ย่ำแย่จนเธอขอฟ้องหย่า ความตายของสามีจึงเต็มไปด้วยความโล่งใจที่ได้หลุดพ้นและรู้สึกผิดอยู่กลายๆ

ในชนบท เธอได้ เจฟฟรีย์ (โรรี คินเนียร์) ชาวท้องถิ่นที่คอยดูแลเธออย่างดี โดยเธอพักในบ้านหลังน้อยติดกับป่า และระหว่างที่กำลังหย่อนใจนั่นเอง ฮาร์เปอร์ก็พบว่า มีชายเปลือยกายยืนจ้องเธออยู่จากระยะห่าง ทั้งอีกวันหลังจากนั้น เขาปรากฏตัวให้เธอเห็นอีกครั้งในสภาพโชกเลือด ยังผลให้ฮาร์เปอร์ขวัญเสียสุดขีด หากแต่นี่เป็นเพียงปฐมบทที่เธอต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งการพักใจที่ว่านี้เท่านั้น

Men ถูกพูดถึงในแง่ความเฮี้ยนคลั่งและชวนสยองพองเกล้าของการเป็นผู้หญิง ตัวละครฮาร์เปอร์กระเจิงไปกับความหลอนหลอกที่ล้วนโยงเกี่ยวกับผู้ชาย ไม่ว่าจะผู้คนเพศชายมากมายที่ปรากฏซ้ำไปซ้ำมาในสายตาของเธอ หรืออดีตความทรงจำที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกสามีทำร้าย ที่ทำให้หลายคนอ่านหนังว่า ภาวะที่เธอเผชิญคือการแบกรับความเครียดมหาศาลจากอดีตอันไกลโพ้น “คุณจะอ่านหนังแบบไหนก็ได้ หนังไม่ได้ให้คำตอบอะไรหรอก” เขาบอก “คุณจะดูหนังเรื่องนี้แล้วบอกว่ามันเป็นหนังผีก็ได้ หญิงสาวผู้โศกเศร้าออกเดินทางไปยังชนบทและถูกหลอนหลอกโดยความทรงจำ หรือจากก้อนความเสียใจต่อการจากไปของสามีตัวเอง

“หนังมันควรจะเป็นแบบนี้แหละ คือเปิดพื้นที่ให้เราตีความได้ยังไงล่ะ”

Civil War (2024) คือหนังอีกเรื่องที่เล่าผ่านสายตาของตัวละครหญิง ลี สมิท (คริสเต็น ดันส์ต) ช่างภาพสงครามอาชีพ ออกเดินทางไปยังทำเนียบขาวในวันที่สหรัฐฯ กลายเป็นสงครามกลางเมือง เป้าหมายของเธอคือไปถ่ายภาพประธานาธิบดีซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤติทางตำแหน่ง เธอเดินทางไปกับ โจเอล (แวกเนอร์ เมารา) นักข่าวจากรอยเตอร์ที่เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของลี, เจสซี (เคลี สแปนี) ช่างภาพมือใหม่ที่เพิ่งออกเดินทางเพื่อเก็บบรรยากาศสงครามและ แซมมี (สตีเฟน แมคคินลีย์ เฮนเดอร์สัน) นักข่าวอาวุโสจาก The New York Times ที่เป็นเสมือนพี่เลี้ยงของลีสมัยเธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ

สหรัฐฯ ใน Civil War กลายเป็นสมรภูมิเต็มรูปแบบ หลายเมืองกลายเป็นแดนเถื่อนที่ทำให้พวกเขาเอาชีวิตแทบไม่รอด และคนที่ถูกบังคับให้สบตากับข้อเท็จจริงนี้มากที่สุดกลุ่มหนึ่งคือ เหล่านักข่าวที่ออกเดินทางข้ามรัฐ “ผมคิดว่าผู้สื่อข่าวที่ทำงานหนักหน่วง จริงจังน่ะต้องการได้รับการปกป้องนะ เพราะงานของพวกเขาเสี่ยงมาก ผมเลยอยากให้คนเหล่านี้เป็นฮีโร่น่ะ” การ์แลนด์บอก โดยพ่อของเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนลงหนังสือพิมพ์ การ์แลนด์ในวัยเด็กเลยได้คลุกคลีกับวงการนักข่าวไปโดยปริยาย “เพื่อนของพ่อหลายคนเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ถ้ามีความขัดแย้ง เช่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุค 70s พวกเขาต้องรับผิดชอบประเด็นเหล่านี้” การ์แลนด์บอก

การ์แลนด์เริ่มโปรเจกต์ Civil War ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเขารู้สึกว่าบรรยากาศการเมืองโลกในภาพใหญ่ ไม่เพียงแต่ในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ที่กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะการต่อต้านและสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเมืองโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้, กฎหมายควบคุมอาวุธ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ตลอดจนบรรยากาศอันแสนกระอักกระอ่วนที่ทำให้การ์แลนด์ตระหนักถึงมวลปัญหาที่ก่อตัวเข้มข้นขึ้นจนยากจะละสายตา

“เวลาคุณทำหนังที่พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน มันอาจทำให้คนดูเข้าใจไปได้เหมือนกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันไม่จริง เพราะทุกคนรู้ว่ากว่าจะทำหนังมาได้สักเรื่อง มันต้องใช้เวลา ดังนั้นสิ่งที่หนังเล่าก็คงเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว” การ์แลนด์บอก “หนังที่ผมทำมักเป็นแบบนี้เสมอแหละ แต่ถ้าคุณถอยกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน คุณก็จะพบบรรยากาศเดิมๆ คำถามเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง และกับ Civil War เองก็เช่นกันแหละ”

Tags: , , , , , , , ,