หลังจากพาชมและวิพากษ์ Thai Pavilion ไปก่อนหน้านี้ The Momentum ขอพาไปชม Expo 2025 ตลอดทั้งงานกันบ้าง

อย่างที่รู้กัน World Expo 2025 จัดขึ้นที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 1970 หรือเมื่อ 55 ปีก่อน

ครั้งนั้นสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ ‘หอคอยแห่งดวงอาทิตย์’ หรือ Tower of the Sun ที่ปรากฏเด่นชัดในมังงะชื่อดังเรื่อง 20th Century Boys (1999) รวมถึงชื่อ Expo70 ก็ดังจนขนาดวงดนตรีบ้านเราเอามาใช้เป็นชื่อวง GRAND EX ของ นคร เวชสุภาพร

แต่ Expo2025 ก็ไม่ใช่ครั้งที่ 2 รองจากที่โอซากา นับจากนั้นญี่ปุ่นยังจัด Expo อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่สึกูบะ (Tsukuba) ในปี 1985 และที่ไอจิ (Aichi) เมื่อปี 2005 

หากดูจากตัวเลขในอดีตจะพบว่า Expo จะมาจัดในญี่ปุ่นทุกๆ 20 ปี และครั้งนี้ก็นับเป็น 20 ปีพอดี หากนับจากปี 2025 

ผมได้ยินมาว่า คนญี่ปุ่นนั้น ‘คลั่งไคล้’ งานในลักษณะนี้มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าขนาดไหนจนมาพบกับตาตัวเอง ครั้งไปเยือนเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

และนี่คือ Expo2025 จากที่เห็นด้วยตาตัวเอง ตลอด 2 วันที่ไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะยูเมะชิมะ

1.

เรื่องการเดินทาง Expo2025 สร้างบนเกาะถมใหม่ชื่อว่ายูเมะชิมะ (Yumeshima) ไม่ไกลจาก Universal Studios Japan เป็นเขตท่าเรือ เขตอุตสาหกรรม และเมืองใหม่แห่งโอซากา ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไกลมาก แต่นั่งรถไฟจากย่านอุเมดะ (Umeda) ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาทีเท่านั้น

หลังจาก Expo2025 จบลง เกาะยูเมะชิมะแห่งนี้ จะกลายเป็น Entertainment Complex และ ‘คาสิโน’ แห่งแรกของญี่ปุ่น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2030

งานนี้จัดทางเข้าออก 2 จุดคือ East Entrance และ West Entrance โดยฝั่ง East เข้าได้เฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากรถไฟสายสีเขียว Chuo Line ขณะที่ฝั่ง West รองรับรถยนต์ส่วนตัว รถแท็กซี่ และรถบัส โดยผู้ที่จะเข้างาน เมื่อจองตั๋ว จองเวลา จะต้องระบุว่าเข้าประตูไหน เวลาเท่าไร

ข้อแนะนำคือคุณควรถึงจุดเข้างานล่วงหน้าราว 1 ชั่วโมง เพื่อรอคิวตรวจสัมภาระ ตรวจอาวุธที่ยาวเหยียด มิเช่นนั้นอาจเสียโอกาส เสียเวลา เข้าไปต่อแถวต่อในแต่ละ Pavilion อีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

กระนั้นเองระบบการจัดการเรียกได้ว่าชาญฉลาด ‘ขาเข้า’ พาผู้ชมจำนวนมาก ออกจากสถานีรถไฟที่ ‘แคบ’ ไป ‘กว้าง’ จนคนไม่ล้นทะลัก ระบบการจองเวลาเข้าทำให้พื้นที่ด้านหน้าสามารถรองรับคนได้เพียงพอ ขณะที่ ‘ขาออก’ ผู้จัดพาผู้ชมออกงานพร้อมๆ หลังจากโชว์โดรนจบเวลา 21.00 น. แต่คนที่ทยอยออกพร้อมกันไปยังพื้นที่แคบๆ อย่างสถานีรถไฟ ก็ไม่ได้วุ่นวายเท่าที่คิด เพราะปลายทาง‘แคบ’ ทำให้จำกัดคนเข้าได้ทีละไม่มาก ทุกอย่างเป็นไปตามคิว

นับว่าญี่ปุ่นมีประสบการณ์และมีกึ๋นในการจัดงานเช่นนี้

แต่ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นและมีเสียงบ่นอยู่มากก็คือ หลายๆ Pavilion จำต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น โดยใช้ระบบ Lottery สามารถจองล่วงหน้าได้ 2 เดือน 1 ครั้ง ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ 1 ครั้ง และขณะเข้างานอีก 1 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะจองได้เพียงครั้งละ 1 Pavilion เท่านั้น

แต่วิบากกรรมไม่จบเท่านั้น เพราะวันที่เริ่มจองจะมีคนเข้าคิวรอจองพร้อมกับคุณอีกหลายหมื่นคิวตอนเที่ยงคืน… ขณะที่หลาย Pavilion ไม่รับคน Walk In รับเฉพาะคนที่จองมาเท่านั้น

นั่นทำให้เราต้องแบ่งการเข้างานออกเป็น 2 วัน เพื่อให้เข้า Pavilion ที่มีมากกว่า 170 Pavilion ให้ได้มากที่สุด แต่กระนั้นเองก็ยังจองเข้า จองทะลุทะลวงได้เพียงไม่กี่ Pavilion 

ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำใจอย่างแรกก็คือ งานนี้จะไม่ได้เข้าทุก Pavilion และอาจจะไม่ได้เข้า Pavilion ที่อยากเข้าเลย หากจองไม่สำเร็จ 

หลายคนวิจารณ์ว่า ระบบอันซับซ้อนเช่นนี้เอื้อเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มีเวลามาดูนานๆ ซื้อตั๋วเข้าได้หลายครั้งเท่านั้น ส่วนชาวต่างชาติเป็นเพียง ‘ไม้ประดับ’

2.

สิ่งที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นใน Expo คือ Grand Ring หรือ ‘โครงหลังคาไม้’ รูปวงแหวน ซึ่งตั้งตระหง่านรอบงาน Expo2025 ตลอดแนวเกาะยูเมะชิมะ หากเห็นด้วยตาจะรู้สึกว่า ‘โคตรญี่ปุ่น’ เพราะเป็นโครงสร้างไม้ที่ประกอบด้วยเทคนิคแบบเดียวกับการก่อสร้างศาลเจ้าและโครงสร้างวัดในญี่ปุ่น เป็นแบบที่คล้ายคลึงกับวัดน้ำใส หรือวัดคิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) ในเกียวโตที่คนไทยชอบไปเที่ยวกัน

Grand Ring มีความยาวกว่า 2 กิโลเมตร (ตัวเลขจริงคือ 2,025 เมตร เท่ากับปี ค.ศ.ที่จัดงาน Expo) โอบล้อมรอบงาน Expo พอดิบพอดี ฟังก์ชันข้างล่างเป็นที่ให้นั่งหลบแดดอันร้อนระอุของหน้าร้อนญี่ปุ่นและหลบฝนได้ ขณะที่ด้านบนมีบันไดเลื่อนและสกายวอล์ก กลายเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมงานได้โดยรอบ และพอมีสวนดอกไม้แซมอยู่ด้านบน เป็นวิวที่พอเห็นจากด้านบนแล้วรู้สึกได้ว่า นี่คือวิวที่ “นี่ล่ะคืองาน Expo”

 

3.

กล่าวสำหรับโครงสร้างไม้ใน Grand Ring ถือเป็นการก่อสร้างตามแนวคิด Sustainability เพราะไม้ถือเป็นวัสดุธรรมชาติที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ ขณะเดียวกันยังไม่ต้องใช้โลหะ ไม่ต้องเชื่อมโลหะ และโครงไม้แบบ Grand Ring ยังสามารถถอดเอาไปประกอบใช้กับงานอื่นได้

Grand Ring เป็นผลงานชิ้นเอกอุของสถาปนิกชื่อดัง โซ ฟูจิโมโตะ (Sou Fujimoto) โดยวาดหวังให้เป็นแลนด์มาร์กทางศิลปะสะท้อน ‘อนาคตที่ยั่งยืน’ และ ‘เป็นหนึ่งเดียว’ ของโลก

ตามแผนแรก หลังจบงานในเดือนตุลาคม โครงไม้เหล่านี้จะถูกรื้อถอนลงทั้งหมดเพื่อไปก่อสร้างอย่างอื่นต่อ แต่ ฮิโรฟูมิ โยชิมูระ (Hirofumi Yoshimura) ผู้ว่าราชการจังหวัดโอซากา ได้เสนอให้เก็บโครงไม้เหล่านี้ไว้ราว 600 เมตร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้ แบบเดียวกับ Tower of the Sun ที่เคยจัดงานโอซากาในปี 1970

4.

เอาจริงๆ ผมคิดว่าตัวมาสคอต Expo2025 นั้นไม่สวยและไม่โดดเด่นเลย เพราะหากเรานับว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นสนใจ ‘ความน่ารัก’ หรือ Kawaii อันเป็น Soft Power ที่ทรงพลังของญี่ปุ่น แบบที่ Hello Kitty หรือปิกาจูของโปเกมอนครองใจคนทั่วโลกมาได้ เจ้า เมียกุ-เมียกุ (MYAKU-MYAKU) ดูจะห่างไกลจากคำนี้โดยสิ้นเชิง

ตามท้องเรื่องเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับ เมียกุ-เมียกุเกิดจากการผสมของเซลล์ (สีแดง) และน้ำ (สีน้ำเงิน) สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ตามสถานการณ์ มีตาหลายดวง เกิดจากน้ำผุดเล็กๆ ในแถบคันไซ พื้นที่จัดงาน ปรากฏให้เห็นตลอดทั่วโอซากา คันไซ และทั่วญี่ปุ่น ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่บนรถไฟ สถานีรถไฟ เครื่องบิน ฝาท่อระบายน้ำ ป้ายโฆษณา ร้านอาหาร ร้านหนังสือจนคนญี่ปุ่นรู้สึกว่า ‘น่ารัก’ และ ‘ชิน’ ไปโดยปริยาย และเราคนนอกก็รู้สึกว่า ‘น่ารักก็ได้วะ’ 

ภาพที่น่าทึ่งก็คือ ผมไม่เคยเห็นร้านขายของฝากที่มีคิวต่อแถวยาวเหยียดมาก่อน แต่ในงาน Expo2025 ร้านขายของฝากใหญ่ทั้ง 4 ร้าน ในประตูฝั่ง East และฝั่ง West ต่างก็มีคิวประหนึ่ง Pavilion ดังๆ ขดไปขดมา กว่าจะได้เข้าอาจจะมา 15-20 นาที และอาจใช้เวลานานกว่านั้นในห้วงเวลาก่อนจบงาน

ฉะนั้นข้อแนะนำเล็กๆ ก็คือ หากมีเวลาช่วงบ่ายๆ ช่วงเย็นๆ หรือหัวค่ำ ก็อย่าลืมเข้าไปร้านขายของฝาก เก็บของที่ระลึกให้เรียบร้อยก่อน อย่ารอจนจบงานค่อยเข้า เพราะจะเสียเวลา (และเสียเงิน) กับร้านของฝากมากเกินไปโดยใช่เหตุ

5.

อีกอาคารที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากก็คือ อาคาร Shining Hat ในงาน Expo2025 ที่อยู่ไม่ไกลจากประตูฝั่ง East หนึ่งในอาคารสัญลักษณ์ที่โดดเด่น ด้านบนมีหมวกเป็นจานกลมสีทอง เสมือนว่าไม่มีหลังคาและใช้ท้องฟ้านั้นเป็นหลังคาให้เห็นว่า อาคารนี้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ด้านในมีที่นั่ง1,900 ที่นั่ง ขณะพอเริ่มฟ้ามืดที่ด้านนอกก็ฉาย Projection Mapping หลายเรื่องราว ให้คนรอบๆ นั่งดูได้

ข้อสังเกตคือ สีของอาคารนี้จะเปลี่ยนไปตลอดทั้งวัน ตอนเช้าจะเป็นสีอบอุ่น ตอนเย็น จะสะท้อนเฉดแดง/ ชมพู และตอนค่ำจะเล่น Projection Mapping ซึ่งแน่นอนว่าอาคารหลังนี้จะถูกพูดถึงไปอีกนาน และเจ้าภาพครั้งต่อไปอย่างประเทศซาอุดีอาระเบียจะได้รับโจทย์ใหญ่ในการหาอาคารที่เป็นมาสเตอร์พีซ ไม่แพ้เจ้า Shining Hat หลังนี้

6.

ในบรรดา Pavilion ที่น่าสนใจ ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งใน Pavilion ที่ติดท็อปยอดผู้เข้าชมสูงสุด และรอคิวนานที่สุด…

จีนเล่าเรื่องการเดินทางจากแนวคิด-ภูมิปัญญาจีนโบราณ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ผ่านการใช้สถาปัตยกรรมสีเขียว และความยั่งยืนที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล จนถึงชีวิตคนจีน-วิถีชีวิตจีนในปัจจุบัน และพาออกไปนอกโลก พาไปดูก้อนดินจากดวงจันทร์ 

Pavilion จีนยังออกแบบด้วยโครงไม้ตามสมัยนิยม และใช้สีให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ที่น่าทึ่งคือวิดีโอตอนท้ายซึ่งฉายให้เห็นชีวิตประจำวัน 24 ชั่วโมงที่ขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดยั้ง และมีจุดมุ่งหมายว่าคนจีนผูกพันกับการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง และมีส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างไร

7.

ขณะที่อีกพาวิลเลียนที่ไม่ได้ดูก็เหมือนมาไม่ถึงคือ พาวิลเลียนของญี่ปุ่นที่เล่าผ่านธีม Between Lives หรือ ‘ระหว่างชีวิต’ ผ่าน 3 ฮอลล์หลักคือ Factory, Plant และ Farm มีเรื่องราวและวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ เป็นต้นว่าวัฒนธรรมการสร้างให้อ่อน สร้างให้ยืดหยุ่น ในโซน Factory การใช้พลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิลขยะ และพลังของ ‘สาหร่าย’ ว่าด้วยการปลูกสาหร่ายเพื่อดูดซับพลังงาน และเป็นพลังงานใหม่ รวมถึงการสกัดสาหร่ายในการทำเป็นยา เชื้อเพลิง และเส้นใย นำมาเล่าผ่านความน่ารักของ Hello Kitty ที่ย้อมเป็นสีเขียว เป็นการใช้สาหร่ายเล่าเรื่องอย่างสมบูรณ์แบบ

Japan Pavilion อยู่ในข่ายที่ต้อง ‘จอง’ เท่านั้น แต่บางวันหลัง 18.00 น. เจ้าหน้าที่อาจเปิดให้เข้าชม เพราะเป็นเวลาที่เด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่มาทัศนศึกษากลับบ้านไปแล้ว ฉะนั้นใครไม่อยากจองพลาดต้องเผื่อเวลาช่วงเย็นๆ ไว้ให้ดี

8.

ข้อแนะนำเล็กๆ สำหรับคนที่จะเดินทางมางาน Expo2025 อันดับแรก อย่าลืมจอง Lottery Tickets ตามธรรมเนียม เพื่อจะได้เข้า Signature Pavilion และ Pavilion ที่จองยากเย็นทั้งหลาย และหากอยากได้น้ำได้เนื้อ ก็ขอแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน เพื่อให้เข้าใจระบบการจอง การเข้าชม และเข้าชม Pavilion ให้ได้มากที่สุด

ข้อแนะนำอีกข้อคือ มี Pavilion หลายแห่งที่เล่าเรื่องดีจนน่าทึ่ง เป็นต้นว่า Blue Ocean, Osaka Healthcare, Persona, Earthmart แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้ ‘ดวง’ จองล่วงหน้า ขณะที่ Pavilion ของหลายประเทศก็มีกลวิธีการเล่าเรื่องอย่างน่าสนใจ ในที่นี้ ผมขอแนะนำประเทศเยอรมนี สิงคโปร์ จีน สหรัฐอเมริกา และซาอุดีอาระเบีย ที่มีโอกาสได้เข้าชมด้วยตัวเอง

ทั้งนี้อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยคือ หมวก ร่ม พาวเวอร์แบงก์ รองเท้าผ้าใบดีๆ และเตรียมตัวในการ ‘ยืน’ เพราะคุณอาจใช้เวลาในการรอเข้าคิว นานกว่าการเข้าชม Pavilion เสียอีก

โดยสรุป แม้จะเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนสูง ต้องใช้ ‘ดวง’ พอๆ กับใช้ความพยายาม แต่ก็คุ้มค่าหากจะมางานนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

ขอบคุณอุปกรณ์ถ่ายภาพจาก Fujifilm



Tags: , , , , , , ,