หลังจากที่คณะทำงานซึ่งนำโดยโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษของทำเนียบขาวใช้เวลา 22 เดือนสืบสวนสอบสวนกรณีรัสเซียกับการแทรกแซงการเลือกตั้ง ที่มีข้อสงสัยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ล่าสุดเมื่อ 18 เมษายนที่ผ่านมา รายงานฉบับเต็มเผยแพร่ออกมาแล้ว โดยข้อสรุปสำคัญคือผลการสอบสวนไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้จนสามารถเอาผิดทางอาญาได้ว่า ทีมหาเสียงของทรัมป์ร่วมมือกับรัฐบาลรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ชัดเจนในรายงานฉบับนี้คือ ทรัมป์พยายามแทรกแซงการทำงานของของคณะสืบสวนหลายครั้ง

รายงานมีความยาว 488 หน้า และถูกแบ่งออกเป็น 2 เล่ม แบ่งออกเป็นหลายบทหลายตอน โดยมีการปิดทับเนื้อหาบางส่วนที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลและอาจจะกระทบต่อบุคคลที่สาม โดยเฉพาะอีเมลที่ถูกแฮกมาจากวิกิลีกส์ นอกจากนี้ยังมีภาคผนวก ซึ่งบางส่วนยังคงอยู่ในระหว่างการสืบสวน ตอนนี้สื่อมวลชนแต่ละสำนักพยายามสรุปประเด็นและหยิบยกส่วนที่น่าสนใจมาวิเคราะห์

พฤติกรรมชวนให้สงสัยว่าร่วมมือกับรัสเซีย

ส่วนแรกของรายงานเน้นไปที่ความพยายามของรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบปี 2016 และตรวจสอบว่าทรัมป์เกี่ยวข้องหรือไม่ ในรายงานบรรยายถึงความพยายามสองครั้งที่รัฐบาลรัสเซียพยายามแทรกแซงการเลือกตั้ง ครั้งแรกคือ การปฏิบัติการผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งรัสเซียมีองค์กรที่ชื่อว่า ‘หน่วยงานวิจัยอินเทอร์เน็ต’ สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่สนับสนุนทรัมป์และใส่ร้ายฮิลลารี คลินตัน มุลเลอร์เขียนว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่าเจ้าหน้าที่ทีมหาเสียงของทรัมป์คนใดเกี่ยวข้อง

ครั้งที่สองคือ ‘การแฮก’ หน่วยข่าวกรองของรัสเซียแฮกอีเมลของทีมหาเสียงของคลินตันและพรรคเดโมแครต ข้อมูลบางส่วนถูกเผยแพร่โดยรัสเซียเอง ที่เหลือปล่อยโดยวิกิลีกส์

รายงานระบุว่า มีการติดต่อระหว่างคนในเครือข่ายของทรัมป์กับรัสเซีย ทั้งการติดต่อทางธุรกิจ เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือในการหาเสียง การเชิญทรัมป์ไปพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเป็นการส่วนตัว การเชิญทีมหาเสียงพบกับตัวแทนรัฐบาลรัสเซีย และจุดยืนทางนโยบายเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย ผู้จัดการทีมหาเสียงของทรัมป์ให้ข้อมูลการทำโพลล์ภายในแก่รัสเซีย และเน้นไปที่รัฐมิดเวสเทิร์น

ทีมหาเสียงของทรัมป์ก็คาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่ถูกขโมยหรือปล่อยออกมาผ่านความพยายามของรัสเซีย เห็นได้จากการแสดงความสนใจต่อข้อมูลที่วิกิลีกส์แฮกอีเมลของฮิลลารี คลินตัน และยินดีที่เห็นว่ามันน่าจะสร้างความเสียหายต่อเธอได้ ตัวอย่างเช่น มุลเลอร์เขียนว่า ทรัมป์ถามคนของตัวเองหลายครั้งให้หาอีเมลของฮิลลารี คลินตันที่ถูกลบออกไป และไมเคิล ฟลินน์ที่ปรึกษาของทรัมป์พยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

อย่างไรก็ตามคณะทำงานของมุลเลอร์ก็บอกว่า ข้อมูลที่มีนั้น ไม่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นการสมคบคิดเพื่อก่ออาชญากรรม ทั้งนี้มุลเลอร์ไม่พบว่าเจ้าหน้าที่ของทรัมป์เกี่ยวข้องกับการแฮกโดยตรง แต่ข้อค้นพบเรื่องอีเมลที่หลุดออกมาก็ยังไม่ชัดเจน

รายงานระบุว่า “ขณะที่การสืบสวนสอบสวนระบุได้ถึงความเชื่อมโยงรายบุคคลมากมายกับรัฐบาลรัสเซีย รวมถึงความสัมพันธ์ระดับบุคคลกับทีมงานหาเสียงของทรัมป์ แต่ก็ไม่มากพอที่จะเอาผิดในคดีอาญา”

“การสืบสวนนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สมาชิกในทีมหาเสียงของทรัมป์สมรู้ร่วมคิด หรือทำงานร่วมกับรัฐบาลรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้ง”

มีการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ถึงกับมีความผิด

ส่วนที่สองของรายงานกล่าวถึงการขัดขวางกระบวนการสอบสวนของทรัมป์ ทรัมป์พยายามหลายครั้งเพื่อแทรกแซงการสืบสวนสอบสวน ซึ่งในรายงานระบุ 10 พฤติกรรมที่ทรัมป์ในการพยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่การไล่ผู้อำนวยการเอฟบีไอไปจนถึงการข่มขู่ ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความส่วนตัวของเขา

ความพยายามปลดมุลเลอร์ออกจากคณะสืบสวนสอบสวนครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อมิถุนายน 2017 ทรัมป์โทรศัพท์หาโดนัลด์ แมคกาห์น ที่ปรึกษาทำเนียบขาวและสั่งให้เขาถอดมุลเลอร์ ครั้งที่ 2 ทรัมป์กดดันมากขึ้นด้วยการพูดกับแมคกาห์นว่า “มุลเลอร์เป็นที่ปรึกษาพิเศษไม่ได้ เขาต้องออกไป โทรศัพท์กลับมาหาผมถ้าจัดการแล้ว” แมคกาห์นโกรธมากที่ถูกแทรกแซง แทนที่จะร่วมมือ เขาขู่ว่าจะลาออก หลังจากที่มีรายงานของสื่อมวลชนเมื่อมกราคม 2018 ว่าทรัมป์พยายามปลดมุลเลอร์ หนึ่งในทนายความของทรัมป์ก็ได้ติดต่อกับแมคกาห์นให้ออกมาปฏิเสธ

มุลเลอร์ยังระบุว่า แม้จะมีความพยายามขัดขวางกระบวนการสอบสวนแต่ก็ล้มเหลว เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของทรัมป์ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง รวมถึงอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ และอดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาว ดอน แมคกาห์น รวมทั้งอดีตผู้จัดการทีมหาเสียง คอรีย์ เลวันดอว์สกี

รายงานสรุปว่า “ไม่เหมือนกับคดีอื่นๆ ที่ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมเพื่อปกปิดอาชญากรรม หลักฐานที่เราได้รับไม่สามารถยืนยันได้ว่าประธานาธิบดีเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เป็นการแทรกแซงการเลือกตั้งจากรัสเซีย”  โดยระบุว่า จากข้อเท็จจริงที่มีและมาตรฐานของกฎหมายนั้น ยังไม่สามารถนำไปสู่ข้อสรุปได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มั่นสามารถสรุปได่เช่นกันว่าทรัมป์ไม่ได้ก่ออาชญากรรม

ถ้าไม่มีอะไรต้องซ่อน แล้วเหตุใดต้องโกหก

นิวยอร์กไทมส์ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดคนรอบตัวของทรัมป์จึงต้องโกหกมากมายหากเรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง เช่น ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความส่วนตัวของทรัมป์โกหกระหว่างให้การกับสภาคองเกรส เกี่ยวกับการทำธุรกิจของบริษัททรัมป์ในรัสเซีย

แม้ผลการสอบสวนของมุลเลอร์จะไม่ตัดสินว่าทรัมป์มีความผิด แต่ข้อมูลจากรายงานทำให้ ส.ส. พรรคเดโมแครตเห็นว่า ประธานาธิบดีมีเป้าหมายทางการเมืองที่จะทำลายการสืบสวนสอบสวน โดยเห็นรูปแบบของการควบคุม จึงเตรียมดำเนินการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเร็ววันนี้

 

ที่มา:

Tags: , , ,