ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง Amélie (2001) หรือ Le Fabuleux Destin d’Amélie Poulain ในภาษาฝรั่งเศส เล่าเรื่องของ เอมิลี่ ปูแลง (Amélie Poulain) สาวเสิร์ฟสุดขี้อายที่พยายามจะเปลี่ยนชีวิตของคนรอบข้างให้ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเอาชนะความโดดเดี่ยวของตนเอง เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ย่านมงมาร์ต (Montmartre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อได้กลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง หัวใจเราพองโตจนบอกตัวเองว่า ไปปารีสคราวหน้าจะต้องไปตามรอยเอมิลี่ที่มงมาร์ตให้ได้

ย้อนไปเกือบ 20 ปีที่แล้วตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายใหม่ๆ มงมาร์ตกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ที่นักท่องเที่ยวต่างแห่มาตามรอยตัวละครที่พวกเขารักและเสพบรรยากาศความสวยงามของย่านศิลปินบนเนินเขาที่มีวิหารซาเคร-เกอร์ (Sacré Coeur) สีงาช้าง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอด มองเห็นวิวของเมืองปารีสแบบพาโนราม่า มีเสียงเรียกร้องให้สร้างภาคต่อจนเมื่อกลางปี 2562 ที่ผ่านมา Jean-Pierre Jeunet ผู้กำกับออกมาบอกว่า จะไม่มีการสร้างภาคต่อใดๆ ของเอมิลี่ทั้งสิ้น เพราะปารีสไม่หลงเหลือความงามอีกต่อไปแล้ว หลายๆ รีวิวเปรียบเทียบมงมาร์ตเป็นดงโจร มากกว่าฉากในหนังรัก จากที่ฉันเริ่มทริปอย่างซ่าๆ ก็ออกจะเริ่มสั่นๆ ในการตามหาเอมิลี่ให้หลังกว่า 18 ปี

หน้าสถานีรถไฟ Abbesess

ร้าน Maison Collignon

สถานีรถไฟที่มงมาร์ต

ปารีสแบ่งออกเป็น 20 เขตที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน มงมาร์ตรู้จักกันในชื่อย่านศิลปินจากการรวมตัวของศิลปินชื่อดังราวๆ ปลายศตวรรษที่ 19  ตั้งอยู่เขตที่ 18 รวมอยู่กับย่านปิกัล (Pigalle) หรืออดีตโคมแดงของปารีสที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นย่านไนท์ไลฟ์แบบไม่อีโรติกแทน ในภาพยนตร์เรื่องเอมิลี่ มีสถานีรถไฟ 4 สถานีที่ปรากฎให้เห็นหลักๆ ได้แก่ Blanche, Abbresses, La Marck – Caulaincourt และ Gare de l’Est ที่สถานีหลังสุดอาจจะเว้นเอาไว้เพราะแอบไกลอยู่ตั้งเขตที่ 10 หลายคนจะแนะนำให้เราเริ่มจากสถานี Blanche ที่ตั้งอยู่หน้าโรงละครคาบาเร่ต์ Moulin Rouge ชื่อดังก็ตาม แต่เพราะอยากชมทางเข้าสถานี Abbresses กับสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวของ Hector Guinard เลยขอเริ่มต้นทริปจากสถานีตรงตีนเขาของมงมาร์ตแทน

หน้าร้านมีทุกอย่างเกี่ยวกับเอมิลี่ติดไว้ 

Maison Collignon

ระหว่างทางเดินไปร้านขายของชำ Maison Collignon เราเริ่มรู้สึกถึงความชันของมงมาร์ต ด้วยทำเลที่เป็นเนินเขาทรงป้าน และพื้นถนนปูด้วยอิฐก้อนๆ ทำให้ในวันที่แดดส่องตรงหัวจึงเหนื่อยกว่าที่คิด มาถึง Le Marche de la Butte (The Market on the hill) ร้านขายของสดที่ในหนังจะอยู่ตรงกันข้ามบ้านของเอมิลี่ โดยมีชื่อเดิมที่คนท้องที่เรียกเจ้าของร้านว่า Chez Ali ก็กลายเป็น Maison Collignon แทน ตามชื่อที่หนังตั้งให้ หน้าร้านยังคงขายอาหารสดจำพวกผักผลไม้ต่างๆ เหมือนในภาพยนตร์ เว้นแต่ภายในร้านดูมีความโมเดิร์นขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โปสเตอร์และทุกอย่างเกี่ยวกับเอมิลี่ที่ติดไว้รอบผนังร้าน ตั้งแต่บทสัมภาษณ์ และภาพถ่ายที่ดูซีดไปตามกาลเวลา

ถนน Rue Lepic

Rue Lepic

เราเดินตัดเข้ามาที่ถนน Rue Lepic ถนนเส้นสำคัญของมงมาร์ต ที่มีกังหัน Le Moulin Galette (เดิมชื่อ Le Moulin Blute-Fin) หนึ่งในกังหันไม้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมงมาร์ตประดับเป็นฉากหลัง Rue Lepic เป็นเนินค่อนข้างสูง สองข้างทางรายล้อมไปด้วยร้านค้าและคาเฟ่ ด้วยลักษณะถนนเป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ ตามสไตล์มงมาร์ต จึงไม่ค่อยมีรถยนต์ขับผ่านมาเท่าไร ทำให้เป็นบริเวณที่ดูสงบ นอกจากมงมาร์ตจะเป็นฉากสำคัญในเรื่องเอมิลี่แล้ว ยังถือเป็นย่านชุมชนขนาดใหญ่ ที่รวมตัวศิลปินระดับโลกแนวอิมเพรสชันนิสม์ (impressionism)  โดยเฉพาะช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19

รถจักรยานยนตร์ยังเป็นพาหนะหลักบนเนินเขามงมาร์ต

ปัจจุบัน มงมาร์ตมีกังหันหลงเหลืออยู่ทั้งหมด 4 แห่งด้วยกัน ได้แก่ ที่ Moulin Rouge คาบาเรต์โชว์, ที่สุสาน Montmartre Cementary และอีกสองที่ถนน Rue Lepic ห่างกันไม่กี่เมตรและเรียกรวมเป็นชื่อเดียวกันว่า Le Moulin de la Galette โดยอันหนึ่งจะมองเห็นชัดจากเนินล่างของถนน Rue Lepic ยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่ไม่มีใบไม้มาบดบัง ส่วนอีกที่ใกล้ๆ กันเป็นร้านอาหารที่ด้านบนเป็นกังหันไม้ขนาดใหญ่ อยากรู้ว่าบรรยากาศในร้านเป็นยังไง ลองหาภาพ Bal du moulin de la Galette (1876) มาหาดูไปพลางๆ ได้ค่ะ

กังหัน Moulin de la Gallete

บรรยากาศรอบๆ มงมาร์ต

Cafe des 2 Moulins

ร้านคาเฟ่ที่เอมิลี่ทำงานอยู่ ชื่อว่า Cafe des 2 Moulins ตั้งชื่อโดยอ้างอิงจาก กังหัน 2 แห่งที่ร้านนี้ตั้งคั่นกลางไว้อยู่ นั่นคือกังหัน ณ Moulin Rouge และ Le Moulin de la Galette  ร้านคาเฟ่แห่งนี้ยังคงเสน่ห์แบบเดิมตามฉบับคาเฟ่ของปารีสในสมัยศตวรรษที่ 18 ด้วยโทนสีของร้านที่ร้อนแรง พอๆ กับเคาน์เตอร์นีออนสะท้อนแสง ขาดแค่เคาน์เตอร์ขายบุหรี่หน้าร้านเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศของร้านดูต่างไปจากในภาพยนตร์ รูปโปสเตอร์จากเอมิลี่อันเบ้อเริ่มตั้งอยู่ให้ดูเพลินๆ ประกอบกับหญิงสาวผมหยิกโต๊ะข้างๆ เปิดกล่องดนตรีเป็นเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องเอมิลี่ เธอบอกว่าเธอมาจากอเมริกาและผมทรงนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากออเดรย์ ตาตู (Audrey Tautou) นักแสดงที่เล่นเป็นเอมิลี่นั่นแหละ ร้านนี้เป็นหนึ่งในจุดที่คนมาหยุดเพื่อถ่ายรูปมากที่สุด แล้วถ้าคุณสั่ง aperatif สักแก้ว หรือ Crème brûlée กับช็อกโกแลตร้อน เมนูโปรดของเอมิลี่มากินเล่นๆ ก็จะได้ความรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก

หน้า Moulin Rouge

 Rue Saint Vincent 

ถนน Rue Saint Vincent เป็นฉากเปิดตัวและฉากจบในหนังที่สุดจะอิ่มอกอิ่มใจ ความเขียวชอุ่มของถนนเส้นนี้ทำให้เราซึมซับความรู้สึกดีๆ ที่เพียงแค่เดินผ่าน อีกทั้งยังเชื่อมไปยังแลนด์มาร์กสำคัญของมงมาร์ต เช่น  Buste de Dalida, ร้าน La Maison Rose สีชมพูอ่อนกับซุปหัวหอมอันเลื่องชื่อ, คาบาเรต์เก่าแก่ร้านประจำของปาโบล ปิกัสโซ่อย่าง Au Lapin Agile และ Clos Montmartre สวนองุ่นเพียงหนึ่งเดียวในกรุงปารีส ที่จะเก็บเกี่ยวปีละครั้งช่วงเดือนตุลาคม ปารีสในวันนั้นอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส เราจึงหลบแดดมานั่งที่ Allée des Brouillards ที่ในหนัง เอมิลี่มักมานั่งฝันกลางวัน ท่ามกลางต้นไม้ บ้านเรือนสีสวยๆ ตอนนั้นปัญหาโลกร้อนน่าจะยังไม่ได้ทำพิษจนอากาศแปรปรวนขนาดนี้ ผ่านไปเกือบ 20 ปี ฉันกับเพื่อนมานั่งที่เดียวกัน เอมิลี่ในวันนั้นอาจจะกำลังดื่มด่ำบรรยากาศ ส่วนเราในวันนี้ก็ดื่มน้ำจากขวดพกพาจนหมดหยดสุดท้าย

ร้าน Cafe des 2 Moulins

Aperetif ก่อนทานข้าวเย็น

Place du Tertre

จัตุรัส Place du Tertre หรือมงมาร์ตพลาซ่าสุดคึกคัก เต็มไปด้วยจิตรกรและนักดนตรีตลอดสองข้าง ที่คอยสร้าง ‘ศิลปะเพื่อการค้า’ โดยเฉพาะ หนึ่งในเสน่ห์ของจัตุรัสนี้คือการมองหาศิลปินที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมเล็กๆ วาดภาพหรือกำลังสร้างสรรค์ผลงานแบบเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องให้คนมาสนใจ นอกจากนี้ ยังมีรถรางที่นำเราขึ้นไปบนยอดมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ได้ง่ายๆ ภายใน 2 นาที แต่เรากลับเลือกที่จะเดินต่อ ระหว่างที่ก้มหน้าตามจีพีเอสไปได้อึดใจเดียว ‘ถึงแล้วว่ะ’ ฉันบอกเพื่อน เมื่อกำลังเช็ดเหงื่อออกจากตา และเห็นเป็นวิหารซาเคร-เกอร์ตรงหน้า

 

ร้าน La Maison Rose

สวนองุ่นหนึ่งเดียวในปารีส

มหาวิหารซาเคร-เกอร์

ซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้า เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดของกรุงปารีส สร้างจากหินปูนทราเวอร์ทีน ที่จะคายแคลเซียมออกมาเมื่อเจอสภาพอากาศต่างๆ ทำให้มหาวิหารยังเปล่งประกายเป็นสีขาวสะอาดตาบนยอดสุดของภูเขาลูกเดียวบนกรุงปารีสอย่างมงมาร์ต ความเหนื่อยจากอากาศร้อนและการเดินไต่เนินเขามาทั้งวันกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยวิวเมืองปารีสทั้งเมืองเบื้องหน้า และน้ำปั่นเย็นๆ เรานั่งหายใจเข้าออกแบบช้าๆ ณ มุมสงบมุมหนึ่งใต้ร่มไม้ ฉันเล่าให้เพื่อนฟังถึงความสำคัญของเอมิลี่และสวน Square Louise-Michel กับม้าหมุนขนาดใหญ่หน้ามหาวิหาร จากฉากที่เปรียบเสมือนเดทแรกที่เอมิลี่นัดเจอกับนีโน่ (Nino) พระเอกของเรื่อง ด้วยความขี้อาย เอมิลี่ทิ้งสัญลักษณ์ตามจุดต่างๆ ให้นีโน่เดินตามคล้ายกับเล่นเกมล่าสมบัติไปจนถึงเกือบยอดวิหาร เพื่อที่จะแอบคืนอัลบั้มภาพของเขาแบบไม่ต้องเจอหน้า กว่านีโน่จะรู้ตัวว่าหญิงสาวปริศนาคนนั้นอยู่ด้านล่าง ก็ต้องรีบวิ่งลงบันไดกว่า 300 ขั้น แค่กะระยะทางแล้วไม่แปลกใจเลยที่นีโน่จะวิ่งตามเอมิลี่ไม่ทัน ซาเคร-เกอร์ยังสวยสง่างามเหมือนเดิม แต่พลุกพล่านด้วยนักท่องเที่ยว รวมถึงตู้โทรศัพท์ด้านหน้าที่เอมิลี่ใช้ติดต่อสื่อสารกับนีโน่นั้นก็ไม่อยู่แล้ว

Place du Tertre

วิวเมืองปารีสแบบพาโนราม่า

The Sinking House

เคยได้ยินว่าที่มงมาร์ต มีอาคารหลังหนึ่งเองทำมุม 45 กับเนินเขาดูแล้วเหมือนบ้านกำลังจะจมไหมคะ อาคารที่ว่าตั้งอยู่ติดกับมหาวิหารซาเคร-เกอร์ แค่หันหน้าเข้าวิหาร แล้วมองไปทางขวามือ แวบแรกจะเห็นอาคารนั้นตั้งตรง ไม่มีทีท่าว่าจะเอียงหล่นตกขอบเนินเขาเลย ความจริง Sinking House ก็ตั้งตรงปกติ มีแต่ด้วยฟังก์ชั่นในการหมุนภาพ ก็เลยทำให้ออกมาเหมือนบ้านกำลังจมลงไปแบบนี้นี่เอง

The Sinking House

แล้วปารีสไม่หลงเหลือความงามอยู่แล้วจริงหรือ

สิ่งที่ผู้กำกับ Jean-Pierre Jeunet กล่าวที่ว่าปารีสไม่สวยงามเหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะมีการก่อสร้างเต็มไปหมดทั่วทั้งเมือง แม้แต่ที่มงมาร์ตเองก็เราพบการก่อสร้างในหลายบริเวณเช่นกัน ทำให้ประสบการณ์ที่เราได้รับไม่สวยไปทุกอย่าง เช่นที่มหาวิหารซาเคร-เกอร์ บริเวณทางขึ้นบันไดจะมีแก๊งค์ผูกข้อมือมาโชว์สกิลขั้นเทพในการขูดรีดทรัพย์ (บางคนบอกว่าก่อนจะได้ขึ้นสวรรค์ไปหาพระเจ้าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ อาจจะต้องผ่านนรกตรงจุดนี้ก่อน) แต่ก็ยังมีหนทางให้เราได้หลบเลี่ยงโดยการเดินอ้อมจากด้านหลังทาง จัตุรัส Place du Tertre แบบฉัน ที่ครึกครื้นแต่ก็มีมุมสงบๆ ซ่อนอยู่ หรือสวนองุ่นหนึ่งเดียวในปารีสอย่าง Clos Montmartre ที่ไม่เปิดให้เข้าชม แต่ก็ยังมีที่นั่งใกล้ๆ ให้มองทะลุกรงประตูไปเห็นความสวยงามยามแสงอาทิตย์กระทบเถาองุ่นจนเป็นเงาริ้วๆ

เมื่อมองจากเนินเขามงมาร์ต

ฉันนึกถึงคำพูดของเอมิลี่ที่ว่า “I like to look for things no one else catches” ไปพลางๆ ระหว่างฟังเพลงจาก Soundtrack ของภาพยนตร์ที่ทำให้ทุกมุมที่เดินผ่านสวยขึ้น 10 เท่า จนอยากให้นีโน่ของฉันมาอยู่ตรงนี้ด้วยจัง ไม่แน่เหมือนกัน เดินๆ อยู่คุณอาจจะเจอนีโน่ของคุณระหว่างทางก็ได้ แต่อย่าเดินไปซอยที่เปลี่ยวๆ ของมงมาร์ตคนเดียวนะคะ เพราะจากสะดุดรักจะกลายเป็นประสบเคราะห์ได้

Fact Box

  • หากใครมาเยือนปารีสแล้วอยากลองเดินตามรอยเท้าของเอมิลี่ที่มงมาร์ต Paris Tourist Info ได้สรุปแนวทางการเดินอย่างเป็นทางการไว้ ที่นี่
Tags: , ,