หากใครได้มีโอกาสไปเยือนเนเธอร์แลนด์และใช้เวลาเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัม คงจะคุ้นชินกับวัฒนธรรมจักรยานที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวดัทช์ พร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐานทุกส่วนที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวันบนหลังอาน ตั้งแต่เส้นทางจักรยาน สัญญาณไฟจราจร ที่จอดจักรยาน ไปจนถึงระบบนำทางที่ให้เลือกจักรยานเป็นพาหนะ

 ระบบนิเวศทะเลทราย ที่มีครอบครัวชาวดัทช์เข้าไปวิ่งเล่นและสำรวจอย่างสนุกสนาน

แต่ถ้าคุณหน่ายเมืองหลวง เบื่อที่จะใช้เวลาว่างนั่งมึนๆ ในร้านกาแฟ ต่อคิวรอเข้าชมพิพิธภัณฑ์บ้านแอนน์ แฟรงค์ หรือพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ และมีเวลาว่างเหลือเฟือหลังจากเที่ยวชมกลุ่มกังหันลมที่ชานเมือง ผู้เขียนขอแนะนำสถานที่สำหรับ 1 วันเต็มในอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ อุทยานแห่งชาติฮอร์จแวร์ลู (National Park De Hoge Veluwe)

อุทยานแห่งชาติดังกล่าว แรกเริ่มเดิมที่เป็นของสามีภรรยาแอนตัน โครลเลอร์ (Anton Kröller) และเฮเลน โครลเลอร์-มุลเลอร์ (Helene Kröller-Müller) ซึ่งเปลี่ยนพื้นที่รกร้างขนาด 55 ตารางกิโลเมตรเป็นสนามล่าสัตว์เมื่อ ค.ศ. 1923 ทั้งคู่ยังเป็นนักสะสมศิลปะที่ต่อมาได้ยกของสะสมทั้งชุดและพิพิธภัณฑ์ใจกลางป่าที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จให้กับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวถูกส่งต่อให้มูลนิธิบริหารจัดการ และได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองของเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบัน อุทยานฯ ดังกล่าวเป็นอุทยานฯ เอกชน 1 ใน 2 แห่งและเป็นอุทยานฯ แห่งเดียวที่เก็บค่าเข้าชม

สำหรับใครที่ต้องการไปเยือนอุทยานแห่งนี้ ผู้เขียนแนะนำให้ซื้อแพ็คเกจตั๋วรายวันและบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์โครลเลอร์-มุลเลอร์ (Kröller-Müller Musuem) ใจกลางป่า สนนราคาร่วม 19.90 ยูโรสำหรับผู้ใหญ่ที่รับรองว่าคุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน

อ้อ ที่สำคัญ อย่าลืมเตรียมกายและใจให้พร้อมเพราะผมจะพาทุกท่านไปปั่นรอบอุทยานแห่งชาติฮอร์จแวร์ลู

การปั่นเที่ยวในอุทยานเป็นกิจกรรมที่ทุกคนในครอบครัวสามารถร่วมสนุกได้โดยไม่จำกัดวัย

ออกเดินทาง

อุทยานแห่งชาติฮอร์จแวร์ลูอยู่ทางตะวันออกของกรุงอัมสเตอร์ดัม ใกล้กับเมืองออตเตอร์โล (Otterlo) และอาร์นเฮม (Arnhem) การเดินทางอาจจะยุ่งยากซับซ้อนและใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็ไม่ค่อยน่าเบื่อเท่าไร เพราะสองข้างทางก็มีวิวสวยๆ ให้ชมตลอดโดยเฉพาะฟาร์มวัวนมขาวดำที่พื้นหลังเป็นกังหันลม เส้นทางที่ผมแนะนำคือจับรถไฟระหว่างเมืองมาที่สถานีเอเด-วาเกนิเกน (Ede-Wageningen) ต่อด้วยรถบัสเลข 108 ไปทางออตเตอร์โลแล้วเปลี่ยนสายไป 106 มุ่งหน้าทางโฮนเดอลู (Hoenderloo) รวมเวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเต็ม (ไม่รวมเวลาหลงนะครับ!)

สิ่งที่สังเกตได้ง่ายว่าเข้าในเขตอุทยาน คือจักรยานสีขาวลือชื่อจำนวนมหาศาลที่จอดไว้เรียงรายรอให้ท่านมาจับจองแล้วพาไปปั่นรอบอุทยานนั่นเอง!

รถประจำทางหมายเลข 106 จะพาท่านมาลงแถวๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์โครลเลอร์-มุลเลอร์ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางก็อาจไปเดินยืดเส้นยืดสาย ใน Museonder พิพิธภัณฑ์ใต้ดินแห่งแรกของโลกขนาดกระทัดรัด นำเสนอเรื่องราวทางธรณีวิทยาและชีววิทยาของอุทยานแห่งนี้ โดยมีไฮไลต์คือต้นไม้อายุ 135 ปีที่เราสามารถมองเห็นได้ทั้งระบบตั้งแต่รากถึงยอด ที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์นี้ไม่เก็บค่าเข้าชมเพราะมันรวมอยู่ในตั๋วเข้าอุทยานแล้วนะครับ (ฮา)

สำหรับใครที่ท้องเริ่มหิวและไม่ได้พกอาหารมา ก็สามารถมองหามื้อกลางวันได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเช่นกัน หลังจากที่เตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ซื้อแผนที่อุทยานสนนราคา 2.5 ยูโรมาไว้คู่กายพร้อมกับเล็งจักรยานสีขาวซึ่งจอดไว้แบบไม่มีเจ้าของ อย่าลืมเลือกคันที่อานพอดีและปั่นสบาย เพราะต่อจากนาทีนี้ไปเจ้าจักรยานสีขาวจะกลายเป็นเพื่อนคู่ใจตลอดการเดินทาง

ในแผนที่ดังกล่าวจะแนะนำเส้นทางจักรยาน 2 เส้นซึ่งมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอยู่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั่นเอง เส้นทาง 1 ให้เราปั่นขึ้นทางเหนือโดยมีไฮไลต์อยู่ที่บ้านตากอากาศหรูหราซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของเจ้าของรายเดิม ระยะทางไปกลับรวม 10 กิโลเมตร ส่วนเส้นทาง 2 ให้เราปั่นลงใต้ผ่านระบบนิเวศหลากหลายตั้งแต่ป่าผลัดใบ ทุ่งหญ้า พื้นที่ชุ่มน้ำ และทะเลทราย หากโชคดีก็อาจได้เจอสัตว์น้อยใหญ่ระหว่างทางตามฤดูกาลระยะทางไปกลับรวม 26 กิโลเมตร

แน่นอนว่าวัยรุ่นเร่าร้อนที่พร้อมจะมาปั่นและสัมผัสธรรมชาติตัดสินใจไม่ยากที่จะเลือดเส้นทางที่ 2!

ระบบนิเวศทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเลือกจอดจักรยานเพื่อไปนั่งปิกนิกยามบ่าย

อุทยานปั่นได้และพิพิธภัณฑ์กลางป่า

ผมพาจักรยานคู่กายปั่นออกไปด้วยใจห้าวหาญ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากป่าใบเขียวเป็นป่าใบสีเหลืองอ่อน นักท่องเที่ยวมีอยู่ประปราย หลากหลายทั้งเด็กน้อยผมทอง วัยรุ่นชาวดัทช์ และคู่รักสูงวัย ทุกคนปั่นไปพลาง หยอกล้อไปพลาง บ้างมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นหมู่คณะ ดูเป็นการใช้วันหยุดและเวลาว่างที่แสนจะมีความสุข

สิ่งที่ผมว่าโคตรเจ๋งของอุทยานแห่งนี้ นอกจากที่จะสามารถใช้จักรยานปั่นไปรอบแล้ว เรายังได้มองเห็นระบบนิเวศหลากหลายในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนักซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้ในประเทศไทย พ้นจากป่าผลัดใบเราก็เข้าสู่โซนทุ่งหญ้าร้อนแล้ง บางครั้งสลับด้วยหญ้าสีม่วงอ่อน หรือบางทีอาจมีต้นหญ้าดอกสีเหลืองขึ้นแซม แต่ส่วนใหญ่มักเป็นทุ่งหญ้าสีทองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทุ่งหญ้าเหล่านี้เป็นที่อยู่ของสารพัดกิ้งก่า และหากมีความชื้นมาเพียงพอก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นป่าในที่สุด

จุดเฝ้าชมสัตว์ชนิดต่างๆ ในอุทยานแห่งนี้ โดยมีตัวชูโรงคือกวางแดงเขางามที่ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งอุทยาน

ผมหยุดพักตรงป้ายแนะนำสัตว์ประเภทต่างๆ ทุ่งหญ้าลักษณะนี้คือจุดที่หากโชคดีอาจได้พบกวางแดง (Red Deer) ราชาแห่งอุทยานที่โดดเด่นด้วยเขาสวยงดงาม หรือแพะป่าโมฟลอน (Mouflon) แพะเขาโง้งต่างถิ่นฝูงใหญ่ที่ถูกนำเข้ามาร่วมหนึ่งร้อยปีและตั้งรกรากอยู่ในอุทยานแห่งนี้ ผมนั่งแกะแซนด์วิชอบไส้ทูน่าและมัสตาร์ดที่ห่อมาจากบ้าน นั่งเพลิดเพลินกับทุ่งหญ้าเบื้องหน้าแต่ก็ไร้เงาสิ่งมีชีวิตใดๆ เคลื่อนไหว

ก็อย่างว่าแหละครับ เที่ยวธรรมชาติทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวง เพราะพวกเขาคือสัตว์ป่าไม่ใช่สัตว์เลี้ยง

พ้นจากเขตทุ่งหญ้าก็เข้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง มีต้นไม้ใหญ่อยู่บ้างแต่ลานทรายแห่งนี้แทบไร้สิ่งมีชีวิต หากใครใคร่รู้อยากสำรวจ ก็สามารถจอดจักรยานลงไปวิ่งเล่นบนสนามทรายขนาดยักษ์แห่งนี้ได้ไม่ผิดกฎอุทยานแต่อย่างใด พ้นจากลานทะเลทรายก็ได้เวลาปั่นกลับ นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสองโมงเศษบอกให้ผมเร่งฝีเท้า เพราะพิพิธภัณฑ์โครลเลอร์-มุลเลอร์เปิดให้บริการถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น

จักรยานสีขาวที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกคันที่ชอบแล้วออกปั่นตามเส้นทางที่แนะนำได้ทั่วอุทยาน

ผมปั่นมาถึงพิพิธภัณฑ์อย่างเหนื่อยหอบ แล้วรีบรุดไปพักหายใจพลางดูผลงานของศิลปินชื่อก้องโลก ที่พลาดไม่ได้คือผลงานหลายชิ้นของวินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh) ศิลปินอิมเพรสชันนิสม์คนโปรดของผม ที่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอผลงานที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักแต่กลับทำให้รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งคือภาพทานตะวันที่โรยราสี่ดอกที่เพียงมองฝีแปรงก็สะเทือนอารมณ์ นอกจากผลงานของแวนโก๊ะแล้ว ยังมีผลงานของศิลปินเอกจัดแสดงอีกจำนวนไม่น้อย อาทิ ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ออกุสต์ โรแดง (Auguste Rodin) และเพียท มองเดรียน (Piet Mondrian) รวมถึงสวนประติมากรรมขนาดใหญ่ให้เดินชมอีกด้วย

Four Cut Sunflowers โดยวินเซนต์ แวนโก๊ะ จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โครลเลอร์-มุลเลอร์

หลังจากอิ่มกับงานศิลปะจากพิพิธภัณฑ์ใกล้ปิด ผมก็คว้าจักรยานคู่ใจไปยังจุดหมายสุดท้ายคือบ้านพักตากอากาศเซนต์ฮิวเบอร์ตัส (Jachthuis Sint Hubertus) ปลายทางของเส้นทางหมายเลข 1 นั่นเอง 

ด้วยเวลาที่ใกล้จะหมด ผมปั่นฝ่าผืนป่าโปร่งที่เริ่มร้างไร้ผู้คน ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นแสงย่ำค่ำทำเอาใจหวั่นนิดๆ ก่อนที่สองเท้าจะพาผมทะลุผืนป่ามาเจอสนามหญ้ากว้างใหญ่ ปลายทางมีบ้านพักตากอากาศรูปทรงโบราณและบ่อน้ำกว้างขวางตั้งอยู่ด้านหน้า สนามสองข้างทางยังพอมีครอบครัวที่นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ประปราย

Museonder พิพิธภัณฑ์ใต้ดินแห่งแรกของโลกขนาดกระทัดรัด 

ผมจึงได้แต่ด้อมๆ มองๆ อยู่ด้านนอกอาคารแห่งนั้นไม่นาน ก่อนจะรีบความสองล้อปั่นกลับด้วยความกลัวว่ารถเมล์-รถไฟจะหมดเสียก่อน เป็นการโบกมือลาอุทยานแห่งชาติฮอร์จแวร์ลูอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะได้ชมธรรมชาติแปลกตาและผลงานศิลปะน่าประทับใจแล้ว ยังได้ความระบมไปทั้งตัวที่ทำเอาผมนอนซมไม่อยากปั่นจักรยานไปอีกหลายวัน

เอกสารประกอบการเขียน

De Hoge Veluwe National Park

Kröller-Müller Museum

Fact Box

  • เวลาทำการของอุทยานแห่งชาติฮอร์จแวร์ลูจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล เช่น ในช่วงฤดูหนาวจะเปิด 9 โมงเช้าปิด 6 โมงเย็น แต่ในบางเดือนเช่นมิถุนายนหรือกรกฎาคมจะเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าและปิดดึกถึง 4 ทุ่ม หากตั้งใจจะไปเที่ยวชมอุทยานแห่งนี้ก็อย่าลืมเช็คเวลาเปิด-ปิดทำการ รวมถึงเวลาให้บริการรถสาธารณะต่างๆ ด้วยนะครับ
Tags: ,