พิธีการมอบรางวัล ‘บัลลงดอร์’ ประจำปีนี้อาจจะดูแปลกตาไปบ้างครับ เมื่อไม่มีงานพรมแดง ไม่มีกาลาดินเนอร์ ไม่มีการเชิญผู้คนจากทั่วทุกทิศในโลกลูกหนังเข้าไว้ด้วยกันเหมือนงานพบปะสังสรรค์ประจำปี

มีเพียงแค่ตัวแทนจากนิตยสาร France Football โดย ปาสกาล แฟร์เร บรรณาธิการ รางวัลลูกฟุตบอลทองคำที่ถูกตั้งไว้ในห้องจัดแสดงถ้วยรางวัลของสโมสร เรอัล มาดริด

และผู้ได้รับรางวัลประจำปีนี้ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ได้รับการประกาศให้เป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ประจำปี 2016 และเป็นรางวัลสมัยที่ 4 ของเขา ซึ่งทำให้ตีตื้น ลิโอเนล เมสซี คู่ปรับตลอดกาลเหลือห่างกันแค่สมัยเดียวเท่านั้น

ในคลิปวิดีโอพิธีการมอบรางวัลสั้นๆ ซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ล่วงหน้าเนื่องจาก โรนัลโดติดภารกิจต้องร่วมทีม เรอัล มาดริด ไปแข่งขันรายการชิงแชมป์สโมสรโลก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงของการประกาศรางวัลพอดีนั้น เราจึงได้เห็นแค่ภาพของซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสขึ้นลิฟต์มารับรางวัลจากมือของ ปาสกาล แฟร์เร

ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น

แต่ความน้อยของพิธีรีตอง ไม่ได้หมายความว่าความหมายของมันจะลดทอนลงไปด้วย

รอยยิ้มกว้างและนัยน์ตาเปล่งประกายของโรนัลโดนั้นบ่งบอกความรู้สึกในใจของเขาได้ชัดเจนอยู่ครับ ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน

ถึงแม้ว่า คริสเตียโน โรนัลโด จูเนียร์ ลูกชายของเขาจะเลือกทำท่า Dab ของ ปอล ป็อกบา เพื่อฉลองรางวัล ไม่ใช่ท่าระเบิดพลังที่เป็นท่าประจำตัวของเขาก็ตาม

นอกสนามเขาได้รับการประกาศจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุด
และได้รับสัญญาฉบับใหม่ตลอดชีวิตจากไนกี้    และในเกม FIFA17 เขาถูกจัดให้มีคะแนนความสามารถเหนือเมสซี

ผู้ชนะที่คู่ควร

ความจริงการได้รับรางวัลบัลลงดอร์ครั้งนี้ของโรนัลโดไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก

เพราะก่อนหน้าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ มีข่าวหลุดข่าวลือออกมาให้เห็นโดยตลอด ถึงขั้นมีภาพปกนิตยสาร France Football หลุดออกมา ซึ่งก็เป็นภาพของสตาร์ชาวโปรตุเกสกับรางวัลที่ทรงคุณค่าที่สุดของเกมฟุตบอล

ภาพหลุดนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การประกาศรางวัลประจำปีนี้ดูไม่ตื่นเต้นมากนัก ไม่นับความรู้สึก ‘เฉยชา’ ของแฟนฟุตบอลที่ไม่รู้จะตื่นเต้นไปทำไม เพราะนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา รางวัลนี้ก็สลับกันอยู่ระหว่างโรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี แค่สองคนเท่านั้น

และเกือบทุกปี มักจะมีการพูดถึงความเหมาะสมของคนที่ได้รางวัลไปครองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

อย่างไรก็ดี สำหรับปีนี้การที่รางวัลตกเป็นของโรนัลโดในโลกลูกหนังเองก็ถือว่ามีความเหมาะสมแล้วครับ เพราะทุกอย่างเหนือกว่า ลิโอเนล เมสซี ที่ถึงจะได้แชมป์ลา  ลีกา แต่ประสบปัญหาผลงานตกลงทั้งสโมสรและทีมชาติ และยังมีภาพจำจากความผิดหวังที่พลาดแชมป์โคปาอเมริกา เซนเตนาริโอ จนน้อยใจประกาศอำลาทีมชาติ

ถึงผลงานโดยรวมของโรนัลโดในปีนี้จะดูคล้ายไม่เปรี้ยงปร้างมากเท่า 3-4 ปีก่อนที่ยิงกันเป็นไฟพะเนียง แต่โดยตัวเลขสถิติผลงานแล้วนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้อย่างเขา ยังรักษาระดับมาตรฐานการเล่นที่มหัศจรรย์เอาไว้ได้ กับผลงานการลงสนาม 55 นัด ทำไป 53 ประตู

สำหรับนักเตะในวัย 31 ปี ตัวเลขนี้ไม่ใช่ตัวเลขธรรมดาที่ใครก็สามารถทำได้

นักฟุตบอลนั้นเมื่อวัยเลย 27-29 ปี ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ว่ากันว่าจะเล่นได้ดีที่สุดในชีวิตเพราะเพียบพร้อมด้วยประสบการณ์และกำลังวังชาก็ยังเหลือ ผลงานก็จะค่อยๆตกลงตามธรรมชาติ เพราะถึงประสบการณ์จะมาก ความคิดความอ่านจะดี แต่บางครั้งแข้งขาก็ไม่ตอบสนอง

โรนัลโดเองก็เช่นกันครับ ในการเล่นนั้นเห็นได้ชัดว่าความเร็วดุจสายฟ้าฟาดนั้นหายไป ความแข็งแกร่งที่เหมือนซูเปอร์แมนก็ลดลง มีหลายครั้งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหงุดหงิดเพราะเล่นไม่ได้ดังใจ

แต่สิ่งที่ฮีโร่ของเด็กทั่วโลกทำไม่ใช่การยอมรับความพ่ายแพ้ต่อกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

เขาเลือกที่จะปรับตัวจากนักฟุตบอลที่เน้นการเล่นด้วยตัวเองเป็นหลัก ไปสู่การเป็นนักฟุตบอลที่เล่นเพื่อทีมเป็นหลัก ซึ่งโชคดีสำหรับเขาที่ได้ครูดีอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานตลอดกาลที่เป็นนายใหญ่ในทีม เรอัล มาดริด เป็นผู้แนะนำให้

บทบาทถูกเปลี่ยนจากการยืนปีกซ้าย ขยับเข้ามาเป็นศูนย์หน้าเพื่อลดการเล่นที่ไม่จำเป็นลง และโฟกัสกับหน้าที่ที่เขาทำได้ดีที่สุดในโลกเวลานี้คือการทำประตู

เรื่องนี้ไม่ง่ายครับ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง แต่ก็ทำตามอย่างเคร่งครัด และสุดท้ายมันนำไปสู่ความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ

ในสนามเขาทำประตูชัยในเกม เอล กลาซิโก ซัดจุดโทษคนสุดท้ายพา ‘ราชันชุดขาว’ ดับฝันคู่ปรับร่วมเมือง แอตเลติโก มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก่อนจะนำทีมชาติโปรตุเกส สร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2016 ได้ ทั้งที่ได้รับบาดเจ็บในรอบชิงชนะเลิศ

ขณะที่นอกสนามเขาได้รับการประกาศจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุด และได้รับสัญญาฉบับใหม่ตลอดชีวิตจากไนกี้

และในเกม FIFA17 เขาถูกจัดให้มีคะแนนความสามารถเหนือเมสซี

นี่คือช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของโรนัลโดอย่างไม่ต้องสงสัย

ว่ากันว่าหากยังใช้ระบบเดิม เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ ที่พาทีมชาติฮอลแลนด์เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010
ฟรองก์ ริเบรี ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดกับบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2013 และ มานูเอล นอยเออร์ ที่นำทีมชาติเยอรมนี
คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 ควรจะมีโอกาสได้สัมผัสรางวัลนี้มากกว่าเมสซี หรือโรนัลโด

การกลับมาของ ‘บัลลงดอร์’ ที่แท้จริง

อีกจุดสำคัญที่อาจจะไม่ได้มีการกล่าวถึงมากนักคือ รางวัลบัลลงดอร์ในปีนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่า 6 ครั้งที่ผ่านมา

เพราะปีนี้เป็นปีที่นิตยสาร France Football ยกเลิกความร่วมมือกับฟีฟ่า กลับมาเป็น ‘บัลลงดอร์’ แบบเดิมอีกครั้ง ไม่ได้เป็น ‘ฟีฟ่า บัลลงดอร์’ ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า และบัลลงดอร์ ที่จัดตั้งมาเมื่อปี 2010-2015

สำหรับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ในเบื้องหน้ามีสาเหตุจากการที่ฟีฟ่าหมดสัญญากับ France Football ตามสัญญาที่เซ็นไว้ระยะเวลา 5 ปี มูลค่าปีละ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ในเบื้องหลังแล้ว France Football ในฐานะผู้ที่สร้างรางวัลนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1956 ไม่พอใจที่รางวัลลูกบอลทองคำได้รับการยอมรับในทางที่ดีน้อยลง เพราะถูกพูดถึงว่ามีการเมืองและการตลาดชักใยเบื้องหลัง (ฟรองก์ ริเบรี เคยเจ็บมาแล้ว ขณะที่ หลุยส์ ซัวเรซ ก็เคยออกปากว่ารางวัลนี้เป็นเรื่องการตลาด) และประเด็นเรื่องการโหวตจากทั่วโลกที่มีปัญหา มีการโหวตกันเองน้อยมาก

ว่ากันว่าหากยังใช้ระบบเดิม เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ ที่พาทีมชาติฮอลแลนด์เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 ฟรองก์ ริเบรี ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดกับบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2013 และ มานูเอล นอยเออร์ ที่นำทีมชาติเยอรมนี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 ควรจะมีโอกาสได้สัมผัสรางวัลนี้มากกว่าเมสซี หรือโรนัลโด

การกลับมาเป็นเจ้าภาพเดี่ยวของ France Football ครั้งนี้ จึงเป็นการรื้อฟื้น ‘ขนบ’ อันทรงคุณค่าของบัลลงดอร์ขึ้นมา โดยใช้กระบวนการดั้งเดิมคือคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากสื่อในสายฟุตบอลทั่วยุโรปเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจำนวน 30 คนในช่วงปลายเดือนตุลาคม (ปีนี้มีการประกาศวันที่ 24 ตุลาคม)

จากนั้นจะเปิดให้คณะกรรมการผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวระดับอาวุโสที่มีความรู้ความสามารถทั่วโลกจำนวน 173 คน โหวตนักฟุตบอลอันดับ 1-3 ในดวงใจ โดยได้คะแนนลดหลั่นกันไปจาก 5, 3 และ 1 คะแนนตามลำดับ

การประกาศรางวัลเองก็กลับไปใช้แบบเดิม โดยจะมีการประกาศในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งปีนี้มีการประกาศอย่างเป็นทางการในคืนวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา

อาจจะมี ‘ผิดแผน’ ไปบ้างเมื่อมีข่าวหลุดออกมาก่อน ไม่นับช่วงการประกาศรางวัลที่ตลกๆ เพราะไล่ประกาศจากอันดับท้ายมาถึงอันดับ 6 คือ แกเร็ธ​ เบล แล้วก็ประกาศอันดับ 1 คือโรนัลโดเลย

แต่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับเรื่องใหญ่กว่าคือคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์ที่กลับมา

มันทำให้ ‘บัลลงดอร์’ กลับมาเป็นรางวัลที่เลอค่าสมเจตนารมณ์ของ กาเบรียล อาโนต์ อดีตบรรณาธิการ France Football ที่ให้กำเนิดรางวัลนี้เมื่อปี 1956

บทเรียนจากโรนัลโด

หลังการรับรางวัลบัลลงดอร์ครั้งนี้  โรนัลโดถูกมองว่าจะอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต โดยที่เขาจะไม่มีวันทำได้ดีกว่านี้อีกแล้วนั้น

แต่หากจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามันคือความล้มเหลวแต่อย่างใดครับ

ในทางตรงกันข้าม ผมกลับมองว่าโรนัลโดเป็นนักฟุตบอลที่มีเรื่องราวและแง่มุมชีวิตที่น่าศึกษาอีกมาก แม้กระทั่งเรื่องอีโก้ระดับซูเปอร์ไซย่าของเขาก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

อะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตบนเกาะเล็กๆ ก้าวมาถึงจุดนี้ได้?

อะไรที่ทำให้นักฟุตบอลที่ถูกยกย่องเรื่องพรสวรรค์ในการเล่น ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่การเป็นนักฟุตบอลในอีกสไตล์ที่แปลกและแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

อะไรที่ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ แม้ในวันที่โลกจะตอกย้ำซ้ำเติมว่า ลิโอเนล เมสซี คือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก

เรื่องเหล่านี้แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่และมีการพูดถึงมาตลอด แต่มันกำลังจะก้าวไปสู่การเป็นเรื่องราวชีวิตที่เป็นกรณีศึกษา เป็นต้นแบบของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะในหมู่นักฟุตบอลหรือนักกีฬา แต่ยังรวมถึงหมู่ชนคนธรรมดาที่สามารถใช้โรนัลโดเป็นตัวอย่างได้

ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร กับการทำอะไร

หากเรา ‘สู้’ ได้แบบเขา

ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

 

FACT BOX:

กำเนิดลูกฟุตบอลทองคำ รางวัล ‘บัลลงดอร์’ กำเนิดขึ้นในปี 1956 โดยแนวคิดของ กาเบรียล อาโนต์ อดีตบรรณาธิการขณะนั้นที่ต้องการมอบรางวัลให้แก่นักฟุตบอลชาวยุโรปที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบปี โดยนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รับรางวัลคือ ‘พ่อมดลูกหนัง’ สแตนลีย์ แมตธิวส์ ชาวอังกฤษ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 1995 โดยนักฟุตบอลทุกเชื้อชาติที่เล่นบนแผ่นดินยุโรปมีสิทธิ์ได้รับรางวัลนี้ และเป็น จอร์จ เวอาห์ หัวหอกผู้ยิ่งใหญ่ของเอซี มิลาน ที่ได้รับรางวัลไปครอง
บัลลงดอร์ถูกยกเลิกไปหลังปี 2009 โดยควบรวมกับฟีฟ่า บัลลงดอร์ ในปี 2010 ก่อนจะกลับมาเป็น บัลลงดอร์ เดิมอีกครั้งในปีนี้

Tags: ,