“คุณมีความฝันว่าจะไปนั่งเรือยอชต์ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเลือกมาทำสื่อ?”

The Momentum ถาม ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระหว่างที่เราคุยกันบนเพนต์เฮาส์ส่วนตัวของเขา บนชั้น 11 โรงแรม The Davis Bangkok ซอยสุขุมวิท

ชูวิทย์บิดคอและยักไหล่ ก่อนตอบว่า “พระเจ้าชอบแบ่งแยก ยิ่งคุณคิดอะไรมันย่อมไม่ได้อย่างที่คุณคิด ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าวันหนึ่งจะมาอยู่จุดนี้”

จากเด็กที่เติบโตย่านเยาวราช เริ่มต้นสั่งสมความมั่งคั่งจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อนก้าวสู่วงการธุรกิจสีเทา กลายเป็นเจ้าพ่อสถานบริการอาบอบนวด ล้างมือและฟอกสบู่ผันตัวเข้าสู่งานการเมือง เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เข้าสภา ต่อมาเกิดรัฐประหาร กลายเป็น ส.ส. ตกงาน และถูกตัดสินจำคุกจากกรณีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546

“ความฝันจริงๆ ผมไม่มีหรอก แต่ที่รู้อย่างเดียวคือผมไม่คิดฝันว่าจะเป็นแบบที่เป็นทุกวันนี้”

นักโทษ นักการเมือง เจ้าของธุรกิจอาบอบนวด หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชน

“ชีวิตผมไม่มีการวางแผนหรอก…”

ในวัย 55 ย่าง 56 ปี หลังผ่านมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ และการเริ่มต้นบทบาทชีวิตครั้งใหม่ (อีกครั้ง) ของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ The Momentum ได้ถามทุกประเด็นที่คาใจ ตั้งแต่การทำหน้าที่สื่อมวลชน มุมมองต่อธุรกิจสื่อ สัจธรรมที่ได้พบจากการเก็บศพ 80 ศพระหว่างจำคุก ชีวิตรัก และที่พึ่งทางใจของเขา จนถึงเรื่องพื้นๆ ที่เราอยากรู้

ว่าอะไรคือสิ่งที่หล่อหลอมให้ชูวิทย์เป็นชูวิทย์อย่างทุกวันนี้

เอาความคิดที่อยากทำสื่อมาจากไหน

ตอนประตูคุกกำลังจะเปิด ผู้สื่อข่าวกว่าร้อยคนรอถ่ายรูป รอทำข่าวผม คำถามในหัวตอนนั้นคือออกไปจะตอบคำถามสื่ออย่างไร สิ่งที่คิดแน่นอนคือผมจะไปอเมริกา ไปหาลูกสาว ผมไม่ได้คิดอย่างอื่นหรอกว่าออกมาแล้วจะไปเป็นพิธีกร เป็นสื่อ ผมไม่เคยคิดหรอกครับ แต่ไอ้ความอยากทำสื่อมันแวบขึ้นมาตอนนั้น ความคิดที่จะเป็นสื่อของผมเกิดขึ้นตอนนั้น

จริงๆ ชีวิตผมไม่มีการวางแผนหรอก ไวน์ดีไม่เคยเก็บ ผมกินหมด ขวดหนึ่งกี่หมื่น กี่แสน กินหมด จะเก็บไว้ทำไม พรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ เปิด! แดกเลย! (หัวเราะ) ผมยึดนโยบายแบบนี้เสมอ

ผมเป็นนักโทษแต่ยังยิ้มได้ แล้วยังไง? ผมต้องร้องไห้ใช่ไหม?
ต้องมานั่งคอตกร้องไห้ คนมันชอบดราม่า ชอบบทบาทแบบนี้
ผมบอกเลย ผมจะไม่ขายดราม่าในรายการแน่ๆ

‘ตีแสกหน้า’ ใครเป็นคนคิดชื่อรายการ

ผมเป็นคนคิด ชูวิทย์ตีแสกหน้า แฉแหลก ขยี้ยับ จับทุกประเด็น นี่เป็นสิ่งที่เป็นตัวตน มันเปลี่ยนไม่ได้ บางทีผมก็บอกคนอื่นว่าคุณอย่ามาเปลี่ยนอะไรในตัวผมนะ ผมเป็นอาร์ทิสต์ อารมณ์ศิลปิน คุณให้ผมจัดรายการวันจันทร์ถึงศุกร์ ถ้าบางวันผมอารมณ์ไม่ดี ก็จัดไม่ได้ ผมไม่ใช่สื่ออาชีพ ต้องเข้าใจก่อน แม้ว่าผมจะรู้ว่าถ้าเรตติ้งมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินมีความหมายสำหรับผม ถามว่าอยากดังไหม ขอโทษทีนะ ผมดังมานานแล้ว

คุณชูวิทย์อยากตีแสกหน้าใคร หรืออยากตีประเด็นไหนในสังคมเป็นพิเศษไหม

ผมพูดหมด ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ประเด็นในสังคมมีอะไรให้เล่นเยอะแยะ ผมไม่รู้ว่าจะเอาประเด็นไหนมาเล่นวันแรกหรอก สื่อยุคนี้บริโภคกันวันต่อวัน ผมจะไปคิดประเด็นล่วงหน้าไม่ได้ คุณก็ต้องพูดวันนั้น ถ้าวันนี้เราคุยเรื่องนี้ จู่ๆ อีก 10 วันมีเรื่องใหม่ เราก็ไม่คุยเรื่องนี้กันแล้ว

สื่อทุกวันนี้กินวันต่อวัน ไม่สามารถเอาของเก่ามากินได้ ความจริงของเก่าก็กินได้แหละ แต่กินไปมันไม่อร่อย

คิดว่ามีหลายช่องชวนคุณชูวิทย์ กว่าจะมาลงเอยที่ไทยรัฐทีวี ตัดสินใจนานไหม

การตัดสินใจต้องนานครับ และต้องรอบคอบ ไม่ใช่ว่าผมเล่นตัวนะ แต่การที่ผมต้องไปออกรายการช่องไหนเนี่ย เขาต้องให้พื้นที่กับผม หมายถึงว่าให้พื้นที่ในการแสดง ผมยอมรับนะว่าผมเป็นนักแสดง แต่ครึ่งหนึ่งมันก็มีสาระ ผมก็ดูตามว่าช่องไหนจะให้โอกาสผม ให้พื้นที่ผม และให้บทบาทผม

ที่บอกว่าจับทุกประเด็น แต่ในเมืองไทยบางประเด็นพอจับแล้วมีความเสี่ยง คุณชูวิทย์รู้ใช่ไหม

แน่นอนครับ ประเทศไทยมันมีกฎเยอะ คุณต้องพูดให้ผมฟังก่อนว่าจะเปรียบเทียบไทยกับใคร ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกา สังคมมันไม่เหมือนกัน วิธีการกินข้าว ดื่มเหล้ามันยังไม่เหมือนกันเลย แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว ฝรั่งเขาดื่มเหล้าคนเดียวได้ แต่ถ้าเป็นเมืองไทย คนอาจมองว่าไอ้นี่ขี้เหล้า อกหักมา เวลากินข้าวก็เหมือนกัน สังคมไทยคือสังคมที่คนแชร์กัน แต่ถ้าเป็นฝรั่งเขาก็กินของใครของมัน วิธีการนำเสนอของสื่อก็ไม่เหมือนกัน ต่างกันเกือบจะสมบูรณ์แบบ

คุณไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบได้ แม้แต่เรื่องการทำสื่อ ผมก็ไม่สามารถเลียนแบบ คือทำอะไรอย่างนี้ได้ ถ้าคุณถามผมว่าจะเอาประเด็นไหนในสังคมมาเล่น ผมบอกเลยว่าผมไม่รู้ ต้องดูก่อน แต่ผมไม่สนใจคอมเมนต์ ไม่แคร์ไลก์ เพราะผมไม่ได้เอาไปหากิน

แต่รายการทีวีเขาดูกันที่เรตติ้ง คนดูกี่คน คนชอบกี่คน เพื่อจะได้เงินโฆษณา ถ้าคุณชูวิทย์ไม่เอาเรตติ้งเป็นเกณฑ์ คุณชูวิทย์เอาอะไรเป็นเกณฑ์

ดีมากที่คุณถาม ผมเอาความสะใจของผมเป็นเกณฑ์ (หัวเราะ) คุณอาจไม่เชื่อที่ผมทำแบบนี้ ถ้าไม่เชื่อลองดูตอนผมอยู่ในสภาได้ ถ้าผมทำเรตติ้ง ผมต้องอยู่ฝ่ายรัฐบาล แม้ผมได้คะแนนเสียงเป็นล้าน มากกว่าหลายๆ พรรค แต่ผมก็ยังเป็นฝ่ายค้าน ผมทำตามความสะใจของผม ผมชอบ ผมก็ทำ

ชีวิตผมไม่มีการวางแผนหรอก ไวน์ดีไม่เคยเก็บ ผมกินหมด
ขวดหนึ่งกี่หมื่น กี่แสน กินหมด จะเก็บไว้ทำไม พรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้
เปิด! แดกเลย!

ทำเพื่อความความสะใจ ทำไปเพื่ออะไร

ผมชอบแบบนี้ เหตุผลที่ผมทำเพราะบางครั้งในความสะใจมันแฝงไปด้วยความถูกต้อง ทุกๆ อย่างแหละ ถ้าผมไม่มีจุดยืน ผมก็คงทำไม่ได้ การเป็นสื่อ มันต้องมีคนนิยมชมชอบ หรือการเป็นดารา นักการเมือง มันก็มีคนนิยมชมชอบ ผมเคยเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องมีคนซื้อของผม ไม่งั้นธุรกิจผมจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องพวกนี้ผมเข้าใจดี สมัยอายุ 21 ปี ผมมีเงินอยู่ในกระเป๋าล้านบาท ไม่ใช่ว่าผมจะคุยอะไร ผมจะบอกว่าวิธีการทำงาน วิธีการหาเงินของผม ผมรู้ตัวดีว่าผมต้องทำอะไร

ถ้าเกิดคุณอยากฟังข่าว คุณก็ฟังตอนเช้า กดรีโมตดูไปช่องไหน ช่องนั้นก็พูดอักขระ หน้าตาเหมือนกัน สวยหล่อเหมือนกัน เลยไม่รู้จะเลือกช่องไหน มันต้องเลือกหน้าเข้มๆ อย่างผม มันต้องพูดแบบผม ต้องวิเคราะห์แบบผม

อะไรคือเงื่อนไขที่คุณชูวิทย์ต้องยอมรับในการมาอยู่ช่องไทยรัฐ และอะไรคือความเสี่ยงที่ไทยรัฐต้องรับเมื่อดึงคุณชูวิทย์เข้ามา

แน่นอนครับ ผมเป็นตัวอันตราย ผมไปที่ไหน หรือแม้กระทั่งผมเป็นสื่อ ผมพูดอยู่เสมอว่ามันมีเส้นบางๆ อยู่เส้นหนึ่ง เส้นนี้เป็นแค่เส้นวงกลม ไม่ใช่เส้นตรงนะ เพราะเส้นตรงผมเดินไปไม่ได้ คุณจะตีเส้นให้ผมเดิน ผมเดินไม่ได้ แต่เป็นเส้นวงกลมที่จะไม่ทำให้ผมหลุดออกมา ผมเข้าใจ การเป็นสื่อและมีเส้นเข้ามา นั่นหมายความว่าผมไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ ถึงแม้จะพูดได้ แต่ก็ต้องพูดให้อยู่ภายใต้กรอบ ภายใต้กฎหมาย ภายใต้วิธีการ ไม่ใช่พูดไปโดยอิสระ ผมพูดไม่ได้ และคุณก็ไปตัดสินเอาว่ามันเป็นไปตามที่ผมพูดหรือไม่

ในฐานะที่เคยเป็นนักธุรกิจ คุณชูวิทย์มองธุรกิจสื่อในวันนี้อย่างไร

สงสาร! (ตอบทันที) ผมเข้าใจคนที่ทำธุรกิจ ทำสื่อมันก็เป็นธุรกิจ นวัตกรรมของโลกมนุษย์เปลี่ยนไปตลอด เมื่อก่อนผมเขียนจดหมาย ผมจะสื่อสารกับแม่ผมกว่าจะส่งจดหมายจากอเมริกามาไทยกินเวลาเกือบเดือน แต่เดี๋ยวนี้มันแค่ 3 วินาทีก็ถึงเลย มันเปลี่ยนเร็วมาก เปลี่ยนแบบไม่ทันตั้งตัว ความเปลี่ยนแปลงไปต่างๆเหล่านี้ มันอาจใช้กาลเวลา ธุรกิจบางอย่างอาจจะใช้เวลา 5-10 ปี หรือนานถึง 20 ปี คนรุ่นหนึ่งทำไว้ แต่พอมาอีกรุ่นหนึ่งอาจไม่ประสบความสำเร็จแล้ว เคยขายก๋วยจั๊บอร่อย พอให้ลูกมาทำกลับทำแบบหมาไม่แดก สื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ทัน ไม่ทันจริงๆ สาเหตุหนึ่งที่ไม่ทันเพราะว่าเขาลงทุนเยอะ เรื่องนี้ถูกรัฐหลอก เหตุที่รัฐหลอกก็เพราะว่าแต่เดิมเนี่ยมีช่องทีวีแค่ 3, 5, 7, 9 วันดีคืนดีรัฐก็เอาเหยื่ออย่างทีวีดิจิทัลมาล่อ เทงบให้เลย 1,000 ล้านบาท ฟาดเลย 1,500 ล้านบาท เอาไปประมูลกัน ความจริงคนไทยเป็นคน ‘หน้าใหญ่’ จริงๆ ซื้อขายกันราคาเท่านี้ แต่พอเอามาประมูลกัน ต่างคนต่างหน้าใหญ่ไม่ยอมกัน ทับถมกันไปมา ท้ายสุดเมื่อรับของมา บางคนก็คิดว่าทีวีทำง่าย ไม่ยากหรอก เดี๋ยวก็ไปหาโฆษณาตัวนั้นตัวนี้ หรือบางเจ้าเคยมีประสบการณ์ทำหนังสือมาแล้ว ทำทีวีคงไม่ยากหรอก ปรากฏว่าไม่ใช่ ทุกวันนี้ทีวีดิจิทัลมันจะเจ๊ง มันจะไม่เจ๊งได้ยังไง เมื่อคนดูมือถือแทน หนังสือพิมพ์คนก็เลิกอ่านแล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นไปตามยุคสมัย

คุณชูวิทย์เคยเจอคุณวู้ดดี้ที่ผันไปทำสื่อออนไลน์เต็มตัว เคยคุยกันไหมว่าทำไม

เมื่อนวัตกรรมมันเปลี่ยน คนที่รู้ทันก็เป็นผู้ชนะ ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า คนชนะคือผู้ที่เตรียมพร้อม ผมถามคุณวู้ดดี้มีใครดูช่อง 9 บ้าง ไม่มีใครดูช่อง 5 หายไปเลย ตอนนี้เหลือ 2 ช่องเอง คือ 3 กับ 7 ส่วนทีวีดิจิทัลเขาก็ไล่เรตติ้งกันอยู่นี่แหละ เพราะฉะนั้นทีวีเป็นสิ่งที่คุณต้องอยู่ให้เป็น โดยเฉพาะดิจิทัลทีวีทุกวันนี้การสื่อสารคือยิ่งเร็วเท่าไร มันก็จะยิ่งดีเท่านั้น

สื่อทุกวันนี้กินวันต่อวัน ไม่สามารถเอาของเก่ามากินได้ ความจริงของเก่าก็กินได้แหละ แต่กินไปมันไม่อร่อย

เคยมีความคิดอยากเป็นเจ้าของสื่อเองไหม

ผมไม่ซื้อเด็ดขาด เพราะผมเป็น actor เป็นนักแสดง ศิลปิน จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ฮุบเองหรอก ไม่ลงมือเองหรอก ผมทำไม่ได้

คิดว่าตัวเองจะทำหน้าที่สื่อไปถึงเมื่อไร

เมื่อไม่มีคนดูรายการผมมั้ง เมื่อคนไม่สนใจแล้ว เมื่อมีคนพูดว่าเมื่อไรไอ้นี่จะไปสักที โดยเฉพาะทุกวันนี้คุณจะหาใครเป็น magnet ผมถามคุณกลับ ถ้าเป็นคุณสรยุทธ เขาก็มีเงื่อนไขที่แตกต่าง วันหนึ่งเขาอาจจะกลับมา แต่แค่ยังไม่ใช่ช่วงนี้ บางทีถ้าเขากลับมา ผมอาจจะไม่ได้เป็นสื่อแล้วก็ได้

พูดถึงคุณสรยุทธ ตอนที่คุณเพิ่งออกจากคุกใหม่ๆ ไปเจอคุณสรยุทธได้อย่างไร ใครเป็นคนนัดใคร คุยกันเรื่องอะไร

การที่ผมเจอคุณสรยุทธมันไม่ใช่เรื่องประหลาดหรือซับซ้อนอะไร ผมกินข้าวกันเปิดเผย คุยกัน เป็นห่วงกันเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน เป็นการเจอกันในร้านอาหารร้านสมบูรณ์ซีฟู้ด สาขาบรรทัดทอง โดยบังเอิญ คุณลองไปกินข้าวในต่างจังหวัด บางทีคุณอาจนั่งกินข้าวในร้านเดียวกับผู้ใหญ่ในจังหวัดก็ได้ วันนั้นที่เจอกันก็ถามสารทุกข์สุขดิบ พอผมออกจากคุก ผมก็อยากหาอะไรกินดีๆ ในคุกไม่มีซีฟู้ดให้กิน ไม่มีสเต็ก ไม่มีไวน์ ไม่ได้ดูยูทูบ พอผมออกมาผมก็ต้องไปสรรหา อยู่ในนั้นมันเหมือนหมา เหมือนโดนขังแบบหมา คุณเคยเลี้ยงหมาไหม เราขังหมาไว้ วันหนึ่งมันยังเศร้ายังเครียดเลย และนี่มาขังผมไว้ 300 กว่าวัน ผมก็ต้องเครียดสิ พอผมออกมา ผมอยากไปไหนผมก็ไป ไปกินอะไรได้ผมก็ไปกิน

ตั้งแต่ลงสมัคร ส.ส. ก่อนเข้าสภา คุณชูวิทย์พูดเสมอว่า ความฝันคือการได้นั่งเรือยอชต์ออกท่องทะเลไปเรื่อยๆ ทำไมวันนี้ถึงเลือกมาทำสื่อ ทั้งๆ ที่คุณก็สามารถไปนั่งเรือยอชต์ได้

พระเจ้าชอบแบ่งแยก คุณเคยฝันอะไรแล้วได้อย่างที่ฝันไหม ถ้าได้มันก็โชคดี บางคนบอกอยากจะเป็นหมอตั้งแต่เด็ก อยากจะเป็นตำรวจ พอโตขึ้นไม่เห็นเป็นหมอเป็นตำรวจสักคน มีแต่เป็นโจร (หัวเราะ) บางคนอาจจะเป็นหมอนวดด้วยซ้ำ

พระเจ้าชอบแบ่งแยก นิสัยของพระเจ้าเป็นแบบนั้น ยิ่งคุณคิดอะไรมันย่อมไม่ได้อย่างที่คุณคิด ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะมาอยู่จุดนี้ ไม่เคยฝันด้วยว่าจะทำอาบ อบ นวด ตระกูลผมบ้านผมไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ผมชอบ ผมเป็นคนรักสนุก อายุ 30 กว่า ผมมีผู้หญิงล้อมรอบเป็นร้อย ได้เงินด้วย ใครจะไม่เอา ต่อมาผมทำนานๆ เข้า ผมก็เบื่อ อยากจะออกไปแอ็กอาร์ต อยากเป็นนักการเมือง อยากเป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ไม่เคยฝันหรอกว่าจากเจ้าของธุรกิจอาบ อบ นวด จะมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ยังไง เข้าสภาไปจะอยู่ยังไง ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าคนอย่างผมจะติดคุก ต้องไปนั่งกินกับพื้น ถูกขัง 15 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นผมเลิกคิดแล้วแหละว่าผมฝันอะไร ผมว่าปล่อยให้เป็นไปตามหัตถ์ของพระเจ้า แล้วแต่จะชี้ว่าชูวิทย์มึงไปอยู่นู่น มึงไปอยู่นี่

ทุกวันนี้ทีวีดิจิทัลมันจะเจ๊ง มันจะไม่เจ๊งได้ยังไง เมื่อคนดูมือถือแทน หนังสือพิมพ์คนก็เลิกอ่านแล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นไปตามยุคสมัย

คุณชูวิทย์เชื่อหรือว่าคนเราไม่ได้เป็นคนกำหนดชีวิตเอง

ผมกำหนดเองไม่ได้หรอก ถ้ากำหนดเองได้ก็ดีน่ะสิครับ ถ้าจะฝัน มันก็ฝันได้แค่ 49 เปอร์เซ็นต์ อีก 51 เปอร์เซ็นต์ มันคือคำฝรั่งที่ว่า timing หรือ ‘Timing is right’ เวลาจังหวะดี คนไทยเขาเรียกว่าดวง คนจีนเขาเรียกว่าเฮง มันความหมายเดียวกัน

แล้วตอนเด็กๆ เคยฝันไหมว่าอยากเป็นอะไร

จริงๆ ผมไม่มีหรอกนะ แต่ที่รู้อย่างเดียวเลยคือไม่คิดฝันว่าจะเป็นแบบที่เป็นทุกวันนี้ ไม่เคยฝันว่าจะเป็นนักโทษ ไม่เคยฝันว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่เคยฝันว่าจะมาทำสื่อ

พอพูดถึงการเป็นนักโทษ อะไรคือประสบการณ์ทรงคุณค่าที่คุณได้เห็นในคุก

เห็นอะไรเยอะแยะ การเข้าไปอยู่ในคุกได้รู้อะไรหลายอย่าง ใจเย็นลง ได้รู้ว่าเมื่อออกไปจะต้องทำตัวอย่างไร อยู่ข้างนอกจะต้องระวังตัวมากขึ้น มันเป็นกรอบ ใครที่ทำอะไรตามใจชอบ ไม่อยู่ในกรอบกฎหมาย มันจะดียังไง เมื่อเข้าไปแล้วก็ระลึกได้ เมื่อผมเข้าไปอยู่ในคุก หลายคนก็มองว่าผมอยู่อย่างวีไอพี ชูวิทย์อยู่แบบสบาย เชื่อเถอะครับ ผมนี่จะสาบานให้หมดเลย ผมอยู่ในคุกเนี่ย ผมเคยเก็บศพ มีภาพผมตอนนั้นว่าใส่ขาสั้น สื่อมวลชนเลวระยำมันก็ไปตีข่าวกันว่าผมใส่ชุดกอล์ฟคิดดูละกัน ผมเป็นนักโทษแต่ยังยิ้มได้ แล้วยังไง? ผมต้องร้องไห้ใช่ไหม? ต้องมานั่งคอตกร้องไห้ คนมันชอบดราม่า ชอบบทบาทแบบนี้ ผมบอกเลย ผมจะไม่ขายดราม่าในรายการแน่ๆ

ถามจริงๆ อยู่ในคุกเคยแอบร้องไห้บ้างไหม

จะร้องไปทำไม ผมไม่ใช่เด็กแล้ว คนในนั้นก็ไม่มีใครร้องหรอก อาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่เยอะ ในนั้นมีแต่เสือทั้งนั้น ไอ้นี่ก็ฆ่าคนตาย ไอ้นี่ก็ข่มขืน ไอ้นี่ก็ขายยา แล้วจะร้องไห้กันทำไม ไม่มีใครร้องหรอกครับ มันเป็นที่ที่คุณแสดงถึงความอ่อนแอไม่ได้ นี่เป็นที่ที่คุณจะต้องยอมรับ เป็นที่ที่คุณจะร้องระลึกถึง ถ้าวันนั้นคุณไม่ทำ คุณก็จะไม่โดน 20 ปี ถ้าวันนั้นคุณไม่เอายาไปขาย คุณก็จะไม่โดนตลอดชีวิต ถ้าวันนั้นคุณไม่เอาปืนยิงเขา คุณก็จะไม่โดนประหารชีวิต

ในนั้นไม่มีอดีต คุณจะเป็นนายแพทย์ คุณจะเป็นนายพล คุณจะเป็นมหาเศรษฐี ทุกคนก็ใช้เงินได้แค่ 300 บาทต่อวัน 300 บาท คุณไปซื้อกรองทิพย์สักซอง L&M สักซอง แป๊บเดียวเงินก็หมดแล้ว คุณจะไปซื้อกับข้าว ซื้อน้ำอัดลม มันก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีชื่อเสียงเงินทองแค่ไหน สุดท้ายคุณก็ได้แค่กองไว้ที่หน้าประตูเรือนจำ เพราะเมื่อคุณก้าวเข้าไป คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยก เพราะคุณมาจากอีกสังคมหนึ่ง

คุณชูวิทย์เคยบอกว่า ตอนอยู่ในคุกคุณเก็บศพนักโทษ 80 ศพ การเก็บศพ ได้เห็นคนตาย คุณได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้น

ทุกขเวทนาที่ไม่เหมือนกับคนข้างนอก คนตายทั้งที่ยังขาดอิสรภาพ ตายโดยที่ไม่มีญาติพี่น้องอยู่รอบตัวคุณ เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณก็อาจจะออกไปไม่ได้ เมื่อตายไปก็อาจจะกังวลถึงคดีที่ยังต้องโทษอยู่ ดังนั้นคุกมันก็วนเวียน คนวนเวียนอยู่ในนี้แหละ เมื่อผมเก็บศพไปเนี่ย ผมเก็บด้วยใจ ผมก็บอกว่า ‘อนิจจัง วัฏสังขารา’ ทุกคนเกิดมาต้องตาย ผมก็ต้องตาย

เมื่อนวัตกรรมมันเปลี่ยน คนที่รู้ทันก็เป็นผู้ชนะ ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า คนชนะคือผู้ที่เตรียมพร้อม

สัจธรรมแบบนี้ คุณคิดได้ก่อนหรือคิดได้ตอนอยู่ในคุก

คิดได้ตอนอยู่ในคุกนี่แหละ ข้างนอกจะไปเห็นได้ไง แต่พอเข้าไปในนั้นมีแต่คนเป็นโรคเอดส์ เป็นในคุกนี่แหละครับ ผู้ชายบางคนเมื่อออกจากคุก ผอมจนน้ำหนักลดลงเหลือ 30 กว่ากิโลกรัม ผอมเหมือนกระดูกเดินได้ ชั้น 8 ของโรงพยาบาลที่ผมอยู่เป็นชั้นสำหรับโรคเอดส์ทั้งหมด มีแต่คนเหมือนกระดูกเดินได้ หลายครั้งที่ผมเอาเขาลงมา พิมพ์มือ รอป่อเต็กตึ๊งมารับ บางทีคนของป่อเต็กตึ๊งก็ดันเป็นลูกน้องเก่าผม นักโทษบางคนผมก็เคยเห็นตั้งแต่เขาอยู่ข้างนอก แม้แต่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงกลัว สง่าผ่าเผย มีลูกน้อง คุมหน่วยงานหลายสิบกอง แต่พอเข้าไปก็กลายเป็นคนแก่คนหนึ่ง มันเปลี่ยนแปลงไป ผมอาจจะแก่แล้วเลยเห็นสัจธรรมเหล่านี้ก็เลยมาเล่าให้ฟัง ถ้าทำสื่อผมก็เล่าให้ประชาชนฟัง เมื่อก่อนอาจพูดแค่ในวงเหล้า 5-10 คนฟัง แต่สมัยนี้อาจพูดให้คน 5 ล้านคนฟังได้ เพราะฉะนั้นนี่คือความต้องการของผม ผมใช้ประสบการณ์ของผม มันอาจจะเป็นความรู้ หรืออะไรก็แล้วแต่

อะไรคือสิ่งที่คุณชูวิทย์ได้เรียนรู้ตลอดชีวิตที่ผ่านมา

ผมขอยกนโยบายฝรั่งมาคำหนึ่ง ผมจะพูดทุกครั้งเวลาที่ผมให้สัมภาษณ์ว่า Life is a fact – ชีวิตคือความจริง Fact is an experience – ความจริงคือประสบการณ์ Experience is a knowledge – ประสบการณ์คือความรู้ และ Knowledge is a wisdom – ความรู้คือความฉลาด เพราะฉะนั้นมันเป็นไปตามขั้นตอนนี้ตลอด ไม่เคยมีอะไรล้ำสลับมา นี่คือความจริง ยิ่งโตขึ้น ก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มากขึ้น ประสบการณ์สอนให้คุณมีความรู้ เมื่อคุณมีความรู้ คุณก็จะฉลาด บางคนดันมาฉลาดตอนใกล้ตาย ฉะนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเหมือนกันหมด ไม่มีใครเกิดมาแล้วฉลาดแต่แรก หรือเกิดมาแล้วมีประสบการณ์เลย มันไม่มีหรอก ทุกคนเกิดมาต้องเรียนรู้อะไรเองทั้งนั้น

พระเจ้าชอบแบ่งแยก นิสัยของพระเจ้าเป็นแบบนั้น ยิ่งคุณคิดอะไรมันย่อมไม่ได้อย่างที่คุณคิด ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะมาอยู่จุดนี้

คุณชูวิทย์ดูเป็นคนไม่กลัวอะไรเลย ผีก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว แล้วคนล่ะ คุณกลัวไหม ถ้ากลัว กลัวคนประเภทไหน

คนที่ฉลาดแต่แกล้งโง่คนประเภทนี้ต้องกลัว คนที่แกล้งทำตีสองหน้า ต่อหน้าเราแกล้งโง่ แต่ลับหลังกลับฉลาด คนแบบนี้ต้องระวัง ผมอยู่ในหลายๆ พื้นที่ เจอคนประเภทนี้เยอะ คนแบบนี้ต้องระวังให้มาก

ถ้าเจอคนแบบนี้คุณก็จะไม่เลือกคบ?

ผมคบหมดแหละ เหตุที่ผมต้องคบเพราะว่าคุณจะได้ฉลาด ผมบอกลูกผม ถ้าจะไปแต่ทองหล่อ ไม่ไปท่าพระ ก็จะรู้จักแต่คนแถวทองหล่อ ทำไมไม่ลองไปฝั่งธนฯ บ้าง การที่อยู่แต่ทองหล่อมากไป ทำให้รู้เรื่องแต่ทองหล่อ รู้แต่คนแถบนั้น ที่นั่งอวดร่ำอวดรวยกัน ทำไมไม่ลองคบคนอื่นบ้าง เจอสังคมอื่นที่แตกต่าง นี่คือสิ่งที่ผมจะบอกคุณว่า ถ้าคุณมัวแต่ไปคบแต่คนที่อยู่ในสังคมของคุณ คุณก็จะอยู่แค่นั้นแหละ

อะไรคือที่พึ่งทางใจของคุณชูวิทย์

ผมเป็น ‘พุทธทอลิสลาม’ คือผมนับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาอิสลาม และนับถือนิกายโรมันคาทอลิก พุทธทอลิสลาม ลูกผมเป็นคาทอลิก ส่วนตัวผมคุณจะเรียกผมยังไงก็ได้ ผมเป็นเด็กวัด แต่ผมมาได้เมียที่เป็นคาทอลิก ลูกผมก็นับถือคาทอลิก เมียผมมีหลายคน ผมก็ต้องนับถืออิสลามสิครับ (ยิ้ม) เมียผมแต่ละคนรักกันอยู่แบบนี้ คุณต้องเข้าใจหลักศาสนาอิสลามให้ดี เพราะการที่ศาสนาอิสลามมีเมีย 4 คน ไม่ใช่ว่าเขาให้คุณมีเด็ก เขาให้คุณมีเมียมากเพราะผู้หญิงเหล่านั้นเนี่ยทนทรมานเพราะไม่สามารถทำมาหากินได้ ยกตัวอย่างเช่น สามีเสียชีวิต ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นผู้หญิงที่ตกทุกข์ เราก็ช่วยเขา การช่วยเขาหมายความว่าเราเลือกมาเป็นเมีย ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านั้น

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ผมกำลังชดใช้กรรม นี่คือเรื่องจริง ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เมื่อก่อนผมน่ะ ‘นารีอุปถัมป์’ ผมมีนารีอุปถัมป์ผมเป็นหมื่นคน คนที่ทำงานกับผมก็เป็นผู้เสียสละทั้งนั้น เขาทำงานมีรายได้ ผมก็มีรายได้ ผมร่ำรวยมา ใครจะชี้หน้าผม ผมก็ยอมรับ แต่ก่อนดวงผมขึ้น เปิดอาบ อบ นวด 6 ที่ ผมเป็นเจ้าของคนเดียว เดี๋ยวนี้มีใครทำได้แบบผมล่ะ ไม่มีหรอก แต่ตอนนี้ผมเลิกละ ผมไม่เอาละ ใครอยากจะรวยก็รวยไป ผมไม่อิจฉาหรอก ผมพอแล้ว และวันนี้ผมก็บอกว่าผมชดใช้กรรม ผมเป็นใคร ตกระกําลําบากยังไง ผู้หญิงพูดถูกใจยังไงผมก็ให้ ผมเป็น ‘ป๋า’ สมัยก่อนผมเป็นแค่ ‘เฮีย’ แต่ตอนนี้ผมเป็นป๋า คิดไปคิดมาป๋านี่ก็ดีเหมือนกัน (ยิ้ม)

ทุกวันนี้อุปถัมป์กี่คน?

ไม่จำกัด แต่ถ้าหมายถึงเรื่องเซ็กซ์ คุณเชื่อผมเถอะ ผมไม่มีปัญญาทำเรื่องเซ็กซ์ได้ตลอดเวลา ผมไม่ได้บ้ากามถึงขนาดนั้น บางคนพอพูดถูกคอผมก็เอ็นดู บางคนพูดไม่ถูกคอผมก็จะบอกเลยว่านู่นๆ ประตูอยู่นู่น ออกไปเลย เรื่องพวกนี้บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องของเคมี ใจตรงกัน บางคนก็บอกว่าเพราะผมไม่เดือดร้อนอะไร ให้ไปด้วยปริมาณเงินเดือนของผม อาจจะมากหรือน้อย ถ้าคุณมีคนหนึ่งในชีวิตมานึกถึงเหมือนผม ผมว่ามันสำคัญนะ เจอกันพูดถึงเรื่องทุกข์สุขด้วยกัน ไม่ใช่จะมาสะกิดขึ้นเตียงอย่างเดียว ผมแก่แล้ว ผมไม่ได้เป็นแบบหนุ่มๆ ที่สะกิดทีแล้วลุกเลย มันก็ต้องจูนกันก่อน คุยกันให้เข้าใจก่อน

ไม่มีใครเกิดมาแล้วฉลาดแต่แรก หรือเกิดมาแล้วมีประสบการณ์เลย มันไม่มีหรอก ทุกคนเกิดมาต้องเรียนรู้อะไรเองทั้งนั้น

หลายคนพอแก่ตัวจะนึกถึงเรื่องทางธรรม คุณชูวิทย์มีบ้างไหม

ทุกคนต้องมีที่พึ่ง ทุกคนต้องหาที่พึ่ง เมื่อคุณยังหนุ่มอยู่ คุณอาจจะพึ่งอย่างอื่น พอคุณแก่หน่อย อาจพึ่งเรื่องครอบครัว พอแก่มากขึ้นกว่าเดิมคุณอาจพึ่งลูก มากกว่านั้นอาจจะพึ่งวัด ตอนสาวๆ หนุ่มๆ เขาอาจจะไม่พึ่ง อาจจะไม่เข้าเลย พอแก่ตัวหน่อยก็อาจจะเข้าวัดมากขึ้น วันหนึ่งคุณก็จะรู้ พอแก่กว่านี้ พอเข้าห้องน้ำไม่ได้ ก็ต้องหาที่พึ่งแน่นอน

ดังนั้นผมยังไม่สามารถตอบคุณได้ว่าตอนนี้ผมพึ่งใคร เพราะผมยังพึ่งตัวเองได้อยู่ ผมยังไหวอยู่ ถ้าวันหนึ่งผมดูแลตัวเองไม่ไหว ผมอาจจะกลับบ้านแล้วบอกให้ภรรยา 4 คนจับสลากเอาละกันว่าภาระนี้จะตกไปอยู่กับใคร ผมไม่อยากทำให้ชีวิตมันซีเรียสเกินไป

ดูดวงบ้างไหม?

ผมไม่เคยดูดวง ไม่ใช่ที่ไม่ดูเพราะต่อต้านนะ แต่ที่ผมไม่ดู เพราะผมไม่เคยดู

ปีนี้คุณชูวิทย์อายุ 55 ย่าง 56 ถ้าเป็นขงจื๊อบอกว่าในวัย 40 เราไม่พะวงสงสัย และเมื่ออายุ 50 เรารู้บัญญัติสวรรค์ คุณชูวิทย์มองตัวเองในวัยนี้อย่างไร

ให้ผมพูดแทนขงจื๊อดีกว่า ขงจื๊อตายไปนานแล้ว เอาชูวิทย์ดีกว่า ผมว่าผู้หญิงอายุ 18 นี่เหมือนเกาะ ยังหาไม่เจอ หรือยังน่าค้นหาอยู่ พออายุ 30 เหมือนอินเดีย เริ่มลึกลับ พอ 40 เหมือนอเมริกา เทคโนโลยีสูง เริ่มเสริมนู่นเสริมนี่ พออายุ 50 แม่งเหมือนไซบีเรีย ทุกคนรู้ว่าอยู่ไหน แต่ไม่มีใครอยากไป

อะไรคือสัจธรรมในชีวิตที่คุณชูวิทย์ค้นพบ

อย่าถามแบบนี้เลย มันดูเป็นสูตรเกินไป มันเป็นสัจธรรม ผมก็ไม่อยากบรรยายอะไรเยอะ

เห็นในบ้านคุณชูวิทย์มีรูปถ่ายของตัวเองในแต่ละช่วงชีวิตเต็มไปหมด ทำไมถึงเก็บรูปถ่ายเยอะขนาดนี้ มีความหมายอะไร

นี่เป็นคำถามที่ดี… (นิ่งคิดและเงียบไปพักใหญ่) คงอยากให้ทุกคนจดจำผมมั้ง เมื่อในวันหนึ่งถ้าผมไม่อยู่แล้ว ผมว่าถ้าเกิดเราไม่อยู่แล้ว ยังมีคนจดจำเราได้ ว่าเราทำอะไร  มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ บางครั้งเราดูรูปเก่าๆ ฟังเพลงเก่าๆ หรือบางครั้งเราเขียนจดหมายเก่าๆ ผมว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้วัยอย่างพวกคุณอาจจะยังไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับผม ผมคิด

เห็นมีรูปตอนไว้ผมยาว ตอนอยู่ในสภา ตอนเป็น ส.ส. เหมือนจะเก็บไว้ทุกช่วงชีวิต

Actor (หัวเราะ) ผมอาจจะชอบ ทำให้คิด ทำให้ระลึกถึงสมัยนั้น วันหนึ่งเมื่อผมอายุ 60 หรือถ้าผมมีชีวิตถึง 70 ผมก็อาจจะมองย้อนกลับไปว่าชีวิตตอนนั้นมันมันเว้ย

ตั้งแต่คุยกัน คุณชูวิทย์ออกตัวว่าตัวเองเป็นนักแสดง อยากรู้ว่าตัวตนจริงๆ เวลาที่คุณไม่ต้องแสดงเป็นอย่างไร

คุณต้องไปถามคนอื่น ถามผมผมก็ตอบไม่ได้ ผมไม่รู้ บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจตัวผมเหมือนกัน บางครั้งผมก็สับสน เพราะตอนนี้ผมก็อายุ 50 กว่าละ เริ่มจะเป็นวัยเพชร ไม่ใช่วัยทองนะ วัยเพชรนี่มันก็เริ่มนอนไม่ค่อยหลับ บางทีก็อารมณ์ดี บางทีก็อารมณ์ร้าย บางทีก็ใจดี เซ็กซ์ก็เริ่มเสื่อมลง ถ้าถามว่าผมเป็นคนยังไง ก็ไปถามลูกผม คนใกล้ชิดผม ให้ผมพูดเองผมก็พูดไม่ออก แต่สิ่งเดียวที่ผมจะเป็นคือผมอยากเป็นตัวของตัวเอง

ผมเคยบอกคนอื่นไว้ว่าชูวิทย์เนี่ย ‘ต่อให้นั่งก็ไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนก็ไม่เปลี่ยนแซ่’ ผมเกิดที่เยาวราช ผมยังดูดบุหรี่อยู่ และผมก็รู้ว่ามันอันตราย คุณไม่ต้องมาบอกผมหรอกเรื่องแบบนี้ คุณแค่ช่วยบอกให้ผมหยุดมัน ให้เลิกดีกว่า ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเก็บสะสมอะไร แต่ถ้าผมเก็บแล้ว ผมก็เก็บได้เยอะ อย่างพวกที่ดินผมก็เก็บ ผมซื้อมาผมก็ไม่เอาไปขาย ผมบอกแล้วบางทีผมก็สับสน คุณเอาแน่เอานอนกับผมไม่ได้หรอก แต่ผมคิดว่าชีวิตนี้ยังต้องมีความสุขอีกหน่อย ก่อนที่จะแก่ไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมยังทำอะไรได้ ผมก็อยากจะทำ

ถ้าถามว่าผมเป็นคนยังไง ก็ไปถามลูกผม คนใกล้ชิดผม ให้ผมพูดเองผมก็พูดไม่ออก แต่สิ่งเดียวที่ผมจะเป็นคือผมอยากเป็นตัวของตัวเอง

คิดว่าอะไรที่หล่อหลอมให้คุณชูวิทย์เป็นอย่างทุกวันนี้

ประสบการณ์ (ตอบทันที) เหมือนทุกคนแหละ คุณมาสัมภาษณ์ผม ผมก็พูดทั้งสิ่งที่ดีและเลว ถ้าคุณถามว่าผมเป็นคนเลวไหม บางครั้งผมก็เลว ถ้าถามผมว่าดีไหม บางครั้งผมก็ดีนะ ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมอยากทำอะไรผมก็ทำ บางทีมันดูเหมือนจะมีกรอบ แต่ผมไม่ชอบทำตามกรอบ แม้แต่ลูกผมยังบังคับไม่ได้เลย มันก็มีความคิดของมัน

ผมอยากจะบอกคุณว่า ถ้าคุณมาสัมภาษณ์ผมอีกครั้ง ผมก็จะบอกคุณเหมือนเดิมว่าผมเป็นทั้งคนดีคนเลว แต่อย่างเดียวที่ผมไม่เป็นคือจะไม่โกหกและทรยศใคร ผมไม่โกหกประชาชน ผมไม่ทรยศเมีย และผมก็ไม่โกหกคุณ

ผมถือว่าผมพูดตรงๆ ดีกว่า

Tags: