ในวงการแฟชั่นตอนนี้ คงไม่มีเรื่องไหนร้อนแรงและกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ได้มากกว่าการร่วมมือกันออกคอลเล็กชันพิเศษระหว่างแบรนด์ไฮเอนด์แฟชั่นโค_รหรูจากฝรั่งเศส ‘หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton)’ และแบรนด์สตรีทแวร์จากเมืองมะกัน ‘สุพรีม (Supreme)’
ช่วงเที่ยงของวันที่ 19 มกราคม 2017 ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศฝรั่งเศส หลุยส์ วิตตอง ได้เปิดตัวคอลเล็กชันฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาวประจำปี 2017 (AW17) ที่งาน Paris Fashion Week หลังก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือของโปรเจกต์ดังกล่าวอยู่ให้เห็นเป็นระลอก
ความพิเศษอยู่ที่คอลเล็กชันดังกล่าวนับเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกของ หลุยส์ วิตตอง และสุพรีม สองแบรนด์แฟชั่นทรงอิทธิพลต่างสไตล์แห่งยุค ที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความแสบสัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์และถ่ายทอดออกมาได้อย่างลงตัวผ่านเสื้อยืด, กระเป๋าทรังก์ (Trunk) สไตล์ LV, เดนิม, กระเป๋าต่างๆ, ผ้าพันคอ, รองเท้า ฯลฯ โดยจะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้
เชื่อว่าหลังได้เห็นสินค้าบางส่วน หลายๆ คนก็น่าจะเริ่มทยอยหยอดเงินในกระปุกกันแล้วล่ะ เพราะแว่วๆ ว่าราคาสินค้าบางตัวอาจจะแตะ 6 หลักเลยทีเดียว!
ทุกวันนี้ลูกค้าของพวกเรากลายเป็นวัยรุ่นช่วงอายุราว 20 ปี ฉะนั้นการทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“คนส่วนใหญ่เอาแต่พูด แต่กลับไม่มีใครทำ พวกเราเลยกำลังทำมันในตอนนี้ไงล่ะ” เบื้องหลังโปรเจกต์ความร่วมมือสุดยิ่งใหญ่
ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปี 2000 ทั้ง หลุยส์ วิตตอง และสุพรีมเคยมีกรณีปัญหาพาดพิงกัน หลังสุพรีมผลิตแผ่นกระดานสเกตบอร์ดลวดลายโมโนแกรมของ หลุยส์ วิตตอง โดยไม่ได้ขออนุญาตฝั่งแบรนด์ไฮเอนด์จากฝรั่งเศส
ผลสุดท้ายจึงลงเอยด้วยการที่ หลุยส์ วิตตอง ดำเนินการฟ้องร้องสุพรีมตามกระบวนการทางกฎหมาย และสั่งให้สุพรีมเก็บสินค้าตัวปัญหาออกจากหน้าร้านทั้งหมด
แต่เรื่องราวที่กล่าวมาคือความขัดแย้งใน ‘อดีต’ ที่ผ่านมาแล้วกว่า 17 ปี
คิม โจนส์ (Kim Jones) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของหลุยส์ วิตตอง ที่รับหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งกายผู้ชายให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ WWD ไว้ว่า “ตอนนี้คุณคงจะคุยเรื่องแฟชั่นผู้ชายในเมืองนิวยอร์ก โดยไม่มีชื่อแบรนด์สุพรีมเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้แล้วล่ะ เพราะพวกเขาเปรียบเสมือนปรากฏการณ์ระดับโลก
“ครั้งหนึ่งสมัยผมยังเรียนอยู่ที่วิทยาลัย ผมเคยทำงานแกะกล่องสินค้าของสุพรีมที่ส่งเข้ามาจัดจำหน่ายในกรุงลอนดอน ฉะนั้นเรื่องราวของพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ผมคุ้นเคยมาตลอดทั้งชีวิต
“ผมแค่รู้สึกว่าการปะทะกันระหว่างความทรงพลังของกราฟิกสุพรีมและกราฟิกหลุยส์ วิตตองให้ความรู้สึกของความเป็นป็อปอาร์ตที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี”
โจนส์ยกเครดิตให้ ไมเคิล เบิร์ก (Michael Burke) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง ที่เปรียบเสมือนหัวเรือใหญ่ผู้ผลักดันให้โปรเจกต์สุดพิเศษนี้ให้เกิดขึ้นจริง
“มันก็เป็นแค่การคิดให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิม คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยคาดหวังว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ อันที่จริงผมคิดว่ามันเป็นการทำอะไรที่ทันสมัยมากเลยนะ ผู้คนส่วนใหญ่เอาแต่พูดกันแต่กลับไม่มีใครทำมัน พวกเราเลยกำลังทำมันในตอนนี้ไงล่ะ
“ตอนนี้คนรุ่นใหม่ๆ กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญไปแล้ว ร้านของเราที่จีน เมื่อ 3 ปีก่อน ลูกค้าส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีอายุ แต่ทุกวันนี้ลูกค้าของพวกเรากลายเป็นวัยรุ่นช่วงอายุราว 20 ปี ฉะนั้นการทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
ปิดท้ายด้วยบทสัมภาษณ์ใน Vogue ที่เจ้าตัวกล่าวว่า
“พวกเราใช้เวลาเกือบปีกว่าจะมาร่วมงานด้วยกันได้ และทุกคนก็ตื่นเต้นกับมันมากๆ ในโลกที่ทุกคนมองหาแต่อะไรใหม่ๆ มันย่อมดีที่จะได้โยนของสดๆ ใหม่ๆ ลงไป สิ่งที่ผมจะพยายามทำทั้งหมดคือการสร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้า และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ผมรู้สึกสนุก”
ศิลปินในวงการบันเทิงหลายคนที่มีโอกาสได้ร่วมเป็นสักขีพยานในงานแฟชั่นโชว์ของ หลุยส์ วิตตอง ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงออกถึงความตื่นเต้น
อัชเชอร์ (Usher) นักร้องสไตล์อาร์แอนด์บีชื่อดังให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Vogue ว่า “ผมเพิ่งจะคุยกับเพื่อนๆ ไปเองถึงแนวคิดที่เป็นจริงในวันนี้ เพราะก่อนหน้านี้หลายปี สินค้าของสุพรีม (ที่มีปัญหา) เคยถูกสั่งให้หยุดการผลิตและระงับการจำหน่าย แล้วดูตอนนี้สิ การร่วมงานของพวกเขาโค_รจะเจ๋งไปเลย คุณควรจะเริ่มโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าเด็กๆ บ้างได้แล้ว”
เดวิด เบ็กแฮม อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเล่าว่า “ผมเคยเห็นสินค้าของสุพรีมบางส่วนที่ทำร่วมกับคิม (คิม โจนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ หลุยส์ วิตตอง) และ หลุยส์ วิตตอง ซึ่งผมบอกได้เลยว่ามันสุดยอดมาก สุพรีมคือแบรนด์ที่ลูกๆ ของผมคลั่งไคล้”
ทุกวันนี้ลูกค้าของพวกเรากลายเป็นวัยรุ่นช่วงอายุราว 20 ปี ฉะนั้นการทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หรือนี่คือแท็กติกใหม่ของแบรนด์แฟชั่นในการช่วงชิงพื้นที่สื่อ
คริสโตเฟอร์ สเวนซัน คอลัมนิสต์ด้านแฟชั่น ประจำเว็บไซต์ The Momentum ที่ได้ไปร่วมงาน Paris Fashion Week ในครั้งนี้แสดงความคิดเห็นต่อปรากฏการณ์ความร่วมมือระหว่าง หลุยส์ วิตตอง และสุพรีมว่า
“นี่แสดงให้เห็นว่าวงการแฟชั่นแนว urban มีอิทธิพลขนาดไหนต่อวงการแฟชั่นไฮเอนด์ อย่างปี 2016 ที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองเพื่อให้เข้ากับแนวทางสตรีทมากขึ้น
“หลุยส์ วิตตอง เป็นแบรนด์ที่อยู่ในเครือ LVMH กลุ่มเครือแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีแบรนด์ในมือเป็นจำนวนมาก เช่น Kenzo หรือ Givenchy ผมคิดว่าพวกเขาคงรู้อยู่แล้วว่าจะจัดการกับแบรนด์ของตัวเองอย่างไร จับลูกค้ากลุ่มไหนมาทำโปรดักส์ ตัวคิม โจนส์ที่ทำเสื้อผ้าผู้ชายของ หลุยส์ วิตตอง เอง ก็ร่วมมือกับศิลปินแนวต่างๆ มาโดยตลอด ที่สำคัญเสื้อผ้าผู้ชายของ หลุยส์ วิตตอง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกซีซันอยู่แล้ว ยังไงคอลเล็กชันหน้าพวกเขาก็จะหาอะไรมาเล่นใหม่ได้อยู่ดี
“ก่อนหน้านี้ก็มีแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์ที่ร่วมมือกับแบรนด์สตรีทแวร์อยู่บ้าง แต่ความพิเศษในครั้งนี้คือการที่แบรนด์สตรีทแวร์เบอร์หนึ่งของโลก และแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์เบอร์ต้นๆ ของโลกโคจรมาร่วมงานกัน และผมก็เชื่อว่า หลุยส์ วิตตอง จะไม่ยอมร่วมงานกับแบรนด์สตรีทที่นิช (niche) กว่านี้แน่นอน
“การร่วมมือในครั้งนี้น่าจะทำให้แบรนด์แฟชั่นหลายๆ แบรนด์เริ่มมองเห็นว่า พวกเขาจะสร้างปรากฏการณ์ให้กับคอลเล็กชันของเขา และช่วงชิงพื้นที่สื่อได้อย่างไร ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่บางแบรนด์ก็ยังทำไม่ได้”
ขณะที่คนในวงการแฟชั่นเมืองไทยอย่าง แพท-ณภัทร สุทธิธน บรรณาธิการแฟชั่นนิตยสาร Elle Men Thailand แสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวกับ The Momentum ไว้ว่า
“ทั้งหลุยส์ วิตตอง และสุพรีมได้ก้าวข้ามกำแพงของสตรีทแวร์และไฮเอนด์ไปแล้ว สิ่งที่สุพรีมได้คือการก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับที่เหนือกว่าแบรนด์สตรีทแวร์รายอื่น เขาพยายามจะทำสิ่งนี้มานานแล้ว
“ว่ากันตามตรง พวกเขาคือแบรนด์สเกตบอร์ด แต่พวกเขาจะไม่ลงโฆษณาตามหนังสือสเกตบอร์ด แต่จะเลือกลงโฆษณาในหนังสือศิลปะ หรือหนังสือไฮแฟชั่น สังเกตง่ายๆ สุพรีมจะไม่ค่อยร่วมงานกับศิลปินสตรีทอาร์ท แต่เขาจะร่วมงานกับศิลปินที่มาจากแกลเลอรีเท่านั้น เช่น เดเมียน เฮิร์สต์ (Damien Hirst),แจ็กสัน พอลล็อก (Jackson Pollock) และแอนดี วอร์ฮอล์ (Andy Warhol) พวกเขาพยายามจะทิ้งรากและก้าวข้ามกำแพงของตัวเองมาโดยตลอด
“ตอนนี้แฟชั่นจะเป็นอะไรก็ได้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีสันดานดิบของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากที่สูงส่งบนปราสาท แต่มาจากถนน คนส่วนใหญ่ที่อยู่บนท้องถนนคือคนที่กำหนดทิศทางให้วงการแฟชั่น คนที่อยู่ในวงการแฟชั่นส่วนใหญ่ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจอะไรแบบนี้แล้ว อย่างตัวคิม โจนส์ จาก หลุยส์ วิตตอง เองก็เข้าใจสตรีทแวร์ ส่วน เจมส์ เจบเบีย (James Jebbia) เจ้าของสุพรีมก็เข้าใจความเป็นไฮแฟชั่นเช่นกัน
“การร่วมงานในครั้งนี้จะเป็นเสมือนการเปิดประตูให้แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ร่วมกันทำงานมากขึ้นในอนาคตแน่นอน”
อ้างอิง:
http://www.wmagazine.com/story/louis-vuitton-supreme-collaboration-confirmed
http://wwd.com/menswear-news/mens-fashion/louis-vuitton-supreme-collaboration-10754981/
http://www.complex.com/style/2017/01/supreme-louis-vuitton-collaboration
http://www.vogue.com/13523477/louis-vuitton-supreme-collaboration/
Tags: Fashion, LouisVuitton, Supreme