สำหรับผู้ที่ชื่นชอบแอนิเมชัน คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้ก่อตั้งสตูดิโอจิบลิและผู้กำกับหนังแอนิเมชันชั้นยอดหลายเรื่อง

เขาเคยประกาศเกษียณตัวเองจากการทำหนังแอนิเมชันเรื่องยาวในปี 2013 ช่วงที่หนัง The Wind Rises ของเขาเข้าฉายใหม่ๆ เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการทำแอนิเมชันขนาดสั้นและดูแลพิพิธภัณฑ์จิบลิแทน

อันที่จริงที่ผ่านมาเขาเคยประกาศเกษียณตัวเองมาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1997 แต่ในปี 2013 หลายคนเชื่อว่ามันจะเป็น ‘การลาออกครั้งสุดท้าย’ ของเขา เนื่องจากอายุของเขาที่มากขึ้น (ปัจจุบันเขาอายุ 75 ปี) และการที่ The Wind Rises มีลักษณะเป็นผลงานทิ้งทวน (Swan Song) ของเขาด้วยเนื้อหาที่มีความเป็นส่วนตัวสูง โดยตัวเอกในหนังเรื่องนั้นไม่ต่างจากตัวมิยาซากิในเรื่อง คือการทุ่มเททั้งชีวิตให้กับความฝันและการทำงาน

แต่เร็วๆ นี้ได้มีข่าวดีสำหรับแฟนผลงานของเขา เมื่อเขาได้ประกาศผ่านสารคดี The Man Who Is Not Done: Hayao Miyazaki ที่ออกอากาศในโทรทัศน์ทางช่อง NHK ว่าเขากำลังเตรียมงานสร้างแอนิเมชันขนาดยาวเรื่องใหม่อย่าง Kemushi no Boro หรือ Boro the Caterpillar อยู่ โดยมีกำหนดออกฉายในปี 2019 ซึ่งไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่าทำไมเขาจึงกลับมา อาจเป็นเพราะชีวิตเขาทุ่มเทให้กับการสร้างแอนิเมชันเรื่องยาวมาตลอด 50 ปี จนทำให้การเกษียณตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย หรืออาจเห็นความสำเร็จของแอนิเมชันรุ่นใหม่อย่าง Your Name จนเกิดไฟลุกขึ้นมาทำหนังขึ้นมาแข่งก็เป็นได้

การกลืนน้ำลายอีกครั้งของมิยาซากิเป็นเรื่องที่ไม่มีใครถือสา และต้องถือเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ซึ่งหากคุณไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงยินดีขนาดนี้ เรามีเหตุผลดีๆ 4 ข้อมาอธิบาย

1. เพราะฮายาโอะ มิยาซากิ เป็นหนึ่งในผู้กำกับแอนิเมชันที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค

ด้วยผลงานกำกับอย่าง Nausicaä of the Valley of the Wind (1984), Laputa: Castle in the Sky (1986), My Neighbor Totoro (1988), Kiki’s Delivery Service (1989), Porco Rosso (1992), Princess Mononoke (1997), Spirited Away (2001), Howl’s Moving Castle (2004),  Ponyo (2008), The Wind Rises (2013) ซึ่งแทบทุกเรื่องเรียกได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซ และอาจมีสักเรื่องในนี้ที่ถือเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคน นอกจากนั้น Spirited Away ยังทำสถิติหนังทำเงินอันดับหนึ่งตลอดกาลของญี่ปุ่นที่ 20,000 ล้านเยน และสามารถคว้าออสการ์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาครองได้ ส่วนมิยาซากิยังได้รับรางวัลเกียรติยศ Honorary Award บนเวทีออสการ์มาครองในปี 2014

และนั่นทำให้การกลับมาทำหนังอีกครั้งของเขา ไม่ว่าผลงานที่ออกมาจะดีหรือแย่กว่ามาตรฐาน แต่เรามั่นใจได้ว่าหนังที่ออกมาจะไม่มีทางห่วย

2. ถือเป็นการกลับมาทำหนังอีกครั้งของสตูดิโอจิบลิ

ผู้บริหารเคยประกาศในปี 2014 ว่าทางสตูดิโอจิบลิจะหยุดสร้างหนังไประยะใหญ่เพื่อประเมินโครงสร้างบริษัทใหม่ ซึ่งการหยุดตัวเองครั้งนี้เป็นผลมาจากการเกษียณตัวเองของมิยาซากิ กับผู้กำกับ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ (Grave of the FirefliesThe Tale of the Princess Kaguya) ซึ่งเป็นสองเสาหลักของจิบลิ และหนังเรื่อง When Marnie Was There (2014) ที่ไม่ทำเงินเท่าที่ควร โดยหลังจากนั้นจิบลิมีผลงานเพียงแค่ไปร่วมสร้างหนังแอนิเมชันฝรั่งเศสเรื่อง The Red Turtle (2016) เท่านั้น
และถ้าหนังของมิยาซากิออกฉาย ก็หมายความว่าการกลับมาทำหนังของจิบลิในครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาพร้อมกับผู้กำกับเบอร์ใหญ่สุด! ถ้าวงการแอนิเมชันญี่ปุ่น (รวมถึงทั่วโลก) ไม่สะเทือนก็ให้รู้กันไป!

Photo: myanimelist.net

3. มันเป็นหนังแบบ 3D และใช้ซีจีเป็นหลักเรื่องแรกของมิยาซากิ

ที่ผ่านมาจุดเด่นของหนังจิบลิอยู่ที่การเป็นแอนิเมชันแบบ 2D ที่เน้นวิธีวาดภาพแบบแอนะล็อก (ก่อนที่จะใช้ดิจิทัลมาช่วยเสริมและตกแต่งในภายหลัง) โดยเฉพาะหนังของมิยาซากิซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นผู้กำกับที่วาดภาพด้วยตัวเองเป็นหลัก (นั่นทำให้หนังของเขาใช้เวลาสร้างนานกว่าคนอื่น เนื่องจากเขาควบคุมภาพและงานสร้างด้วยตัวเองแทบจะทุกขั้นตอน) ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีใครคิดว่า มิยาซากิจะเปลี่ยนไปทำแอนิเมชันแบบ 3D ได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว!

โดย Boro the Caterpillar จะเป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกของเขาที่เป็น 3D ทั้งเรื่อง ซึ่งถือเป็นการนับหนึ่งใหม่สำหรับแอนิเมเตอร์ที่ทำงานแบบวาดมือมาตลอด 50 ปี อย่างเขา จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าก้าวแรกสู่สังเวียน 3D ของเขาจะออกมาน่าสนใจขนาดไหน

Photo: nippon.com

4. หนังมีเนื้อหาแหวกแนวที่สุดของเขา

แม้ที่ผ่านมาหนังของเขาจะมีความแฟนตาซีเหนือจริง แต่ก็มีความเข้าถึงง่าย ด้วยตัวละครหลักๆ ที่เป็นมนุษย์บวกกับเนื้อหาที่อ้างอิงจากตำนานหรือเทพนิยายดั้งเดิม แต่สำหรับ Boro the Caterpillar หนังจะเล่าเรื่องราวการผจญภัยของหนอนผีเสื้อตัวจิ๋วที่ตัวเล็กมากขนาดที่ใช้นิ้วมือบีบจนเละได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่แหวกแนวและชวนให้เหวอที่สุดของเขาเลยทีเดียว

หนังมีจุดเริ่มต้นมาจากไอเดียของมิยาซากิที่เขาคิดไว้ตั้งแต่ปี 1997 และวางแผนจะทำเป็นแอนิเมชันขนาดสั้นที่มิยาซากิวางแผนจะสร้างไว้เพื่อเผยแพร่ในพิพิธภัณฑ์จิบลิเท่านั้น โดยเริ่มสร้างในปี 2014 แต่พอดำเนินการสร้าง เขาก็ไม่พอใจที่หนังเรื่องนี้มีความยาวน้อยเกินไปแค่ 10 นาที เขาจึงเปลี่ยนแผนให้กลายเป็นหนังเรื่องยาว โดยคาดว่าจะใช้เวลาต่อจากนี้อีก 3 ปี โดยหวังจะให้เสร็จออกฉายภายในปี 2019 หรือไม่ก็ก่อนช่วงก่อนโอลิมปิกปี 2020 ให้ได้

แน่นอนว่าผลงานที่ออกมาคงไม่ได้เป็นแค่แอนิเมชันขายความน่ารักของสัตว์แบบที่ฮอลลีวูดชอบสร้าง แต่มันน่าจะสอดแทรกด้วยลายเซ็นของมิยาซากิอย่างเนื้อหาที่พูดถึงเกียรติยศ ความกล้าหาญ การเสียสละ บวกกับสอดแทรกแนวคิดและวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นลงไปอย่างแน่นอน

Photo: Yuya Shino, Reuters/profile

 

อ้างอิง:
     – Anime News Network
– www.wired.co.uk
– www.nhk.or.jp