ตามธรรมเนียมของการเมืองสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีขึ้นดำรงตำแหน่งแล้ว สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าบุคคลที่พวกเขาเลือก (หรือไม่ได้เลือก) มานั้นทำได้สำเร็จอย่างที่โม้ไว้ตอนหาเสียงหรือไม่นั้น คือการจับตาดูผลงานใน ‘ช่วงเวลา 100 วันแรก’ หรือที่เรียกกันว่า The First Hundred Days
สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น เขาได้ให้สัญญาไว้หลายข้อว่าจะทำตามสโลแกน ‘Make America Great Again’ หรืออเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เราไปดูกันดีกว่าว่าข้อสัญญาของเขามีอะไรบ้าง และทรัมป์จะทำตามสัญญาใน 100 วันได้จริงหรือเปล่า
หรือว่าจะขอเวลานานกว่านั้น…
การวางตัวของสหรัฐฯ ในประชาคมโลกภายใต้การนำของทรัมป์
ความยิ่งใหญ่แรกของสหรัฐฯ คงจะต้องไปดูกันว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์ได้วางตัวเองไว้อย่างไรในประชาคมโลก ซึ่งทรัมป์มีแนวคิดที่ชัดเจนว่า ‘American First’
นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพคือสิ่งที่ทรัมป์ชูโรงมาโดยตลอด อย่างแรกเลยคือ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะสร้างกำแพงบริเวณชายแดนเม็กซิโก เพื่อป้องกันแรงงานอพยพที่จะเข้ามาแย่งงานชาวอเมริกัน ซึ่งระหว่างการหาเสียงทรัมป์จะย้ำเสมอว่าอเมริกากำลังอยู่ในยุคที่คนโดนขโมยงานมากที่สุด
อย่างที่สองคือ เขาจะยกเลิกการขึ้นทะเบียนผู้ลี้ภัยที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงว่าจะเข้ามาก่อการร้าย ข้อความนี้ของทรัมป์แม้ไม่ได้ระบุว่าเป็นประเทศอะไร แต่ผู้ลี้ภัยจากซีเรียก็น่าจะรู้สึกกระทบต่อข้อสัญญานี้ของทรัมป์มากที่สุด นอกจากนี้เขาเคยประกาศกร้าวขนาดที่ว่าจะยกเลิกเอกสารของผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ทั้งหมด แต่สุดท้ายเขาก็ดูจะเงียบลงไปในประเด็นนี้ เนื่องจากโดนหลายฝ่ายโต้แย้งว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ดังนั้นเขาจึงหันไปมุ่งเน้นผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมายหรือมีประวัติอาชญากรรมที่เขามั่นใจว่ามีถึง 2 ล้านคน อยู่ในประเทศ แต่สำนักข่าว The Telegraph รายงานผลการศึกษาว่า จริงๆ แล้วมีประมาณ 168,000 คนเท่านั้น
ยกเลิกความร่วมมือทางการค้ากับประเทศมหาสมุทรแปซิฟิก
เมื่อมาดูเรื่องนโยบายการค้าต่างประเทศ ทรัมป์ชัดเจนว่าจะสังคายนาข้อตกลงความร่วมมือทางการค้าต่างๆ ทั้งการทบทวนข้อตกลงทางการค้า NAFTA ที่มีสมาชิกคือ สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก
นอกจากนี้จะยกเลิก Trans-Pacific Partnership (TPP) ซึ่งคือความร่วมมือทางการค้าที่รวมสหรัฐฯ กับประเทศมหาสมุทรแปซิฟิกกับอีก 11 ประเทศ โดยเป็นหนึ่งในนโยบายที่ บารัก โอบามาผลักดันและให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ทรัมป์กลับมองว่านโยบายความร่วมมือ TPP นั้นทำให้ชาวอเมริกันโดนแย่งงาน
อีกทั้งทรัมป์จะทบทวนกฎหมายทุกฉบับที่ได้รับอนุมัติในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาระหว่างสมัย บารัก โอบามา ที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานหรือธุรกิจในชาติ ซึ่งทรัมป์มั่นใจว่าเขาจะสร้างงานได้ 25 ล้านตำแหน่งให้กับชาวอเมริกันภายใน 10 ปี
รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับรัสเซีย
ด้านนโยบายด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเป็นอีกสิ่งที่ทรัมป์ต้องการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ตั้งแต่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับรัสเซีย หลังจากที่ความสัมพันธ์กลับมาตึงเครียดจากกรณีส่งทหารเข้าไปปราบกลุ่มหัวรุนแรงในซีเรีย จนหลายฝ่ายต่างคาดการณ์กันไปว่าโลกจะเผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงครั้งใหม่
นอกจากนี้ยังจะเปิดประชุมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ (NATO) เพื่อทบทวนภารกิจทางทหาร และพิจารณาอำนาจของนาโต้ เพราะปัจจุบันนาโต้มีสมาชิกแค่เพียงชาติตะวันตกเท่านั้น
อีกทั้งทรัมป์ประกาศว่าอาจจะช่วยเหลือทางทหารกับประเทศสมาชิกก็ต่อเมื่อประเทศนั้นดำเนินตามข้อผูกมัด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายเช่นนี้ต่อพันธมิตรนาโต้
ทรัมป์อาจจะยกเลิกการส่งอาวุธให้กับประเทศพันธมิตรในยุโรปหรือเอเชียด้วย หากทรัมป์ทำตามข้อสัญญาเหล่านี้ได้ ทรัมป์จะเปลี่ยนโฉมหน้าสหรัฐฯ ด้านการเป็นผู้นำทางทหารอย่างสำคัญ
และนโยบายสุดท้ายที่ถือว่าแหกกฎไม่น้อยคือ ทรัมป์ประกาศว่าจะยกเลิกการจ่ายเงินให้กับองค์การสหประชาชาติในด้านปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะมองว่าเป็นนโยบายที่โลกสวยเกินไป และจะนำเงินส่วนนั้นมาลงทุนกับสาธารณูปโภคภายในประเทศแทน
รื้อเรื่องภายในประเทศกันใหม่
ด้านนโยบายภายในประเทศ ทรัมป์ก็สัญญาว่าจะเปลี่ยนแบบยกครัว
เริ่มกันที่นโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่ทรัมป์ใช้เป็นไม้ตายต่อสู้กับฮิลลารีตลอดช่วงเวลาหาเสียง เขาเสนอว่าจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อจำกัดสมัยการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา (สภาสูง) และสมาชิกรัฐสภา (สภาล่าง)
สอง เขาจะลดการจ้างงานเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการลดขนาดของหน่วยงานหรือองค์กรรัฐต่างๆ และห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาล็อบบี้หน่วยงานรัฐ เพื่อเข้ามาหาผลประโยชน์ผ่านโครงการต่างๆ ได้ โดยจะสั่งพักงานเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5 ปี
สาม เขาสัญญาว่าจะยกเลิกนโยบาย ‘โอบามาแคร์’ หรือนโยบายประกันสุขภาพของโอบามาที่เปลี่ยนจากระบบประกันสุขภาพของรัฐไปอยู่ในมือเอกชน เพื่อต้องการให้คนกว่า 12 ล้านคนเข้าถึงการรักษาค่าพยาบาลได้ ซึ่งทำให้ประชาชนที่มีรายได้สูงต้องจ่ายภาษีมากขึ้น เพื่อให้รัฐมีเงินมาสนับสนุนกฎหมายนี้ นโยบายนี้จึงถูกต่อต้านจากกลุ่มคนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ซึ่งทรัมป์ก็บอกว่าจะเปลี่ยนระบบนี้เป็น ‘Health Savings Account’ ด้วยการให้รัฐเข้าไปมีอำนาจในการจัดการกองทุนนี้มากขึ้น เพียงแต่ทรัมป์ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร
ข้อสัญญาสุดท้ายคือ ทรัมป์สัญญาว่าจะปฏิรูปกฎหมายภาษี ด้วยการลดอัตราภาษีในทุกกลุ่ม อย่างชนชั้นกลาง โดยเฉพาะครอบครัวชนชั้นกลางที่มีลูก 2 คน อัตราภาษีจะลดลงถึง 35% เช่นเดียวกับคนรวยก็จะจ่ายภาษีในอัตราที่ลดลง เพราะทรัมป์ไม่อยากให้ใครต้องจ่ายภาษีเยอะเกินไป จนทำลายความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงอัตราภาษีการประกอบธุรกิจจะลดจาก 35% เหลือ 15%
แม้ทรัมป์จะได้รับชัยชนะไปแล้ว แต่เขายังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะ 100 วันหลังจากนี้ คือช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันจะตัดสินเขาอีกครั้ง!
ภาพประกอบ: Karin Foxx
อ้างอิง:
– http://www.politico.com/magazine/story/2016/02/donald-trump-2016-213677
– http://www.telegraph.co.uk/news/2016/05/04/donald-trumps-first-100-days—muslims-banned-the-wall-designed