‘วงศ์ทนง ขายอุดมการณ์เพื่อแลกเงิน?’

ข้อสงสัยข้างต้นเกิดขึ้นหลังประเด็นร้อนกรณีการขายหุ้นของ บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด ให้กับ บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) เมื่อสำนักข่าวอิศรานำเสนอและขุดคุ้ยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง และพบความไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง จนทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยถึงความชอบธรรมในการซื้อ-ขายหุ้นครั้งนี้

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ชื่อของ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการ ผู้ก่อตั้ง a day และกรรมการผู้จัดการบริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด ได้ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในสื่อหลายสำนัก และสังคมออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่า วงศ์ทนงกำลังขายอุดมการณ์เพื่อแลกกับเงิน 300 ล้าน

แม้วงศ์ทนงจะปฏิเสธว่า ไม่รู้เรื่องดีลในครั้งนี้ แต่หลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่กรรมการผู้จัดการบริษัทอย่างเขาจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

หรือถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริง เขาจะมีจุดยืนอย่างไร และสื่อในเครือเดย์โพเอทส์จะยังคงความน่าเชื่อถือไว้ได้หรือไม่

ขณะเดียวกันก็มีคำถามจากผู้ร่วมลงขันก่อตั้ง a day หลายคนที่ไม่ได้รับเงินปันผลว่ารู้สึกเหมือนกำลังถูกทอดทิ้ง และไม่ได้รับความสนใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในห้วงเวลาที่ทุกคำถามเกี่ยวกับดีลครั้งนี้ถาโถมและพุ่งเป้ามาที่วงศ์ทนง สื่อหลายสำนักต่อสายตรงขอสัมภาษณ์เคลียร์ข้อสงสัย จนถึงวันนี้ที่วงศ์ทนงขอเปิดใจเป็นครั้งแรกผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ของ The Momentum แบบคำต่อคำ โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เป็นผู้ดำเนินการสนทนา

ก่อนจะยืนยันว่าเขาไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ และยื่นคำขาด…

“ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น ผมลาออก”

ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น ผมลาออกแน่นอน

เริ่มต้นผมคงจะถามก่อนว่า ตอนนี้หลายคนงงระหว่างคำว่า เดย์ โพเอทส์ และอีกชื่อคือ a day เริ่มต้นก่อนว่า เดย์ โพเอทส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของข่าวในเรื่องนี้คืออะไร

เดย์ โพเอทส์ คือบริษัทของพวกเราครับ ที่วันนี้เรานั่งกันอยู่ในห้องทำงานของผม บริษัทของผมคือบริษัทผลิตสื่อ ซึ่งมีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออื่นๆ

สื่อสิ่งพิมพ์ที่รู้จักกัน ก็เช่น นิตยสาร a day นิตยสารฟรีก๊อปปี้ a day BULLETIN,  Hamburger สำนักพิมพ์ a book แล้วเราก็ยังมีแผนก a day Studio ที่ผลิตรายการโทรทัศน์อย่าง The Idol คนบันดาลใจ, Human Ride จักรยานบันดาลใจ, ไทยเท่ และยังมีแผนกจัดอีเวนต์อย่าง a day Department Stores ที่จัดงานที่เรารู้จักกันดี เช่น a day BIKE FEST นอกจากนั้นเรายังได้ทำสื่อออนไลน์ตัวล่าสุด ก็คือ The Momentum ซึ่งเป็น host ที่เรากำลังไลฟ์อยู่ตอนนี้

ผมอยากเริ่มต้นด้วยการถือกำเนิดของ a day ก่อน เพราะเราก็รู้จักคุ้นเคยกับ a day มานาน และรู้ว่าจุดเริ่มต้นมาจากการ Crowdfunding ตอนนั้นมีผู้มาระดมทุนกี่หุ้น หุ้นละเท่าไร อย่างไรบ้าง

คือก่อนหน้าที่จะทำ a day ผมทำนิตยสารมาตลอดหลังจากเรียนจบก็ทำนิตยสาร Hi-Class, Life & Decor, GM, Trendy Man, Image และพอถึงวันหนึ่ง ผมก็มีความคิดว่าอยากทำนิตยสารแบบที่ผมชอบ ผมมีไอเดียอยู่ ผมอยากทำนิตยสารที่ให้คนรุ่นใหม่อ่าน นิตยสารที่ว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์ ให้แรงบันดาลใจ ตั้งชื่อมันว่านิตยสาร a day ปรากฏว่าพอเอาไปเสนอทุกที่กลับไม่มีใครสนใจ ผมก็กลับมานั่งคิดว่าเราจะมีวิธีใดที่จะทำมันขึ้นมาได้ เลยไปนึกถึงวิธีการชวนคนอ่านที่เคยอ่านหนังสือเรา ชอบหนังสือเรามาร่วมลงขันด้วยกันดีกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของคำว่า Crowdfunding ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีคำนี้เลย เราก็จัดการเรื่องระดมทุน เอาข้อมูลแฟนหนังสือ แต่ละเล่มที่ผมเป็น บ.ก. มา ซึ่งผมจะเก็บข้อมูลแฟนหนังสือเอาไว้สำหรับคนที่ชอบหนังสือที่ผมทำ ทำจดหมายชวนพวกเขามาร่วมลงขันด้วยกัน

ตอนนั้นประมาณปีไหนครับ

ตอนนั้นปี 2543 ครับ 17 ปีมาแล้ว

ตอนนั้นได้มาเท่าไร ผมถามได้ไหม

เรามีอยู่สองช่วงนะครับ ในช่วงต้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายครับในการที่จะทำ Crowdfunding ในยุคนั้น เพราะว่าสื่อมันก็ยังไม่มากมายขนาดนี้ แต่ในที่สุดเราก็สามารถระดมทุนมาได้ก้อนแรก ประมาณล้านเศษๆ จึงเกิดเป็นนิตยสาร a day เล่มแรก

ตอนนั้นเรากำหนดราคาหุ้นละ 1,000 บาท ทั้งหมด 1,000 หุ้น เพราะว่าเราอยากได้เงินเริ่มต้น 1 ล้านบาท พอ a day เล่มที่หนึ่งออกมา เราเปิดระดมทุนกันอีกรอบหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ได้เงินเพิ่มมาอีก รวมทั้งหมดประมาณ 2,500,000 บาท จากคนร่วมลงขัน 459 คน

ผมถามโง่ๆ เลยนะ ในฐานะที่เราเป็นสื่อ เงินก้อนนั้นทำให้คุณมีวันนี้ถูกไหม

ใช่ครับ

แล้วจำได้ไหมครับ

จำได้ครับ จำได้ไม่ลืม จดจำไม่ลืมไปตลอดชีวิตครับ คนที่ร่วมลงขันกับ a day ในยุคแรก ยุคเริ่มต้น เพราะผมว่ามันเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่มาก มันทำให้เรามีวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นผมซาบซึ้งกับเรื่องนี้เสมอมา และคิดอยู่เสมอว่าเราจะต้องดูแลคนเหล่านี้ให้ดีที่สุด

พูดแบบนี้แต่ขณะเดียวกันผมได้ไปดูและอ่านสื่อผ่านโซเชียลมา หลายคนก็ตั้งคำถาม ซึ่งหนึ่งประเด็นที่พูดกันเยอะ เขาบอกว่าคุณวงศ์ทนงลืมคนที่เคยลงขัน คนละพันกว่าบาท สรุปว่าลืมหรือเปล่าครับ

ขอบคุณมากเลยที่ถาม เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ทำ a day มา เรามีการติดต่อสื่อสารกับผู้ลงขันอยู่เสมอนะครับ ผมเล่าอย่างนี้แล้วกัน ตอนทำ a day ช่วงเริ่มต้นสองปีแรก มันไม่มีกำไรด้วยซ้ำ การทำธุรกิจนิตยสาร ใครอยู่ในวงการจะรู้ว่า มันต้องให้เวลาที่จะ break even (จุดคุ้มทุน) 3-5 ปีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นสองปีแรกเนี่ย เราไม่มีกำไรเลย โฆษณาน้อยมาก แต่โชคดีที่ยอดขายเราดี เพราะฉะนั้นปีที่สามเราจะเริ่มมีกำไรขึ้นมาแล้ว

เราเลยทำนิตยสารอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาที่ชื่อ Hamburger ทีนี้พอปีที่สี่ ตัวผมเองมีความคิดที่อยากจะทำข่าวรายสัปดาห์ขึ้นมาสักฉบับหนึ่ง ซึ่งมันก็คือ a day Weekly ตอนนั้นผมก็ตัดสินใจคุยกับนายทุนหลายๆ บริษัท มีทั้งแกรมมี่ ผู้จัดการ และแม็ทชิ่ง สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะ joint venture กับบริษัท Traffic Corner เพราะก่อนหน้านี้เราเคยทำงานด้วยกันมาแล้วเป็น a day เล่มสยามสแควร์ แล้วเรารู้สึกชอบพอกับ คุณสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย และคุณวินิจ เลิศรัตนชัย พอได้คุยกันแล้วก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเขาบอกกับผมว่าถ้าร่วมกันแล้ว คุณเป็นตัวของตัวเองตลอดไปได้ ผมไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงคุณ เป็นอย่างไรก็เป็นไป แต่เราจะช่วยสนับสนุนทางธุรกิจให้ นี่ก็เป็นที่มาของการที่บริษัทผม joint venture กับ Traffic Corner ในปี 2546 ผมก็ชี้แจงผู้ร่วมลงขันตลอดมานะครับ ส่งเป็นจดหมายไป ซึ่งมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจขอคืนหุ้นมาก็มี ซึ่งเราก็ยินดีคืนให้ แต่ผมก็แจ้งเจตนาไว้นะครับว่า เจตนาของเราคือ อยากทำนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ ซึ่งมันเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินมหาศาลมากหลายสิบล้าน ตอนนั้นพอเกิดการร่วมมือกัน เราก็ได้เงินมาก้อนหนึ่ง ก้อนแรกเลยที่ผมกันเอาไว้คือ 2,500,000 บาท เป็นเงินที่จะคืนให้กับผู้ร่วมลงขัน เป็นเงินปันผลร้อยเปอร์เซ็นต์

เราไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันจำนวนมากได้
เนื่องจากหลายท่านเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
เท่าที่ผมทำได้คือลงประกาศใน a day และ a day BULLETIN นิตยสารในเครือให้ติดต่อกลับมาทางเรา

ถามถึงตรงนี้ ข่าวในโซเชียลมีเดียบอกว่า พอธุรกิจเติบใหญ่ขึ้น เห็นคุณวงศ์ทนง และบริษัทในเครือใหญ่มากๆ หุ้นมันก็คงไม่น่าจะมีมูลค่า 1,000 บาท อีกต่อไปแล้ว ซึ่งบางคนไม่ได้รับการติดต่อด้วยซ้ำ เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไรครับ

คือตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เราปันผลไปแล้ว 6 ครั้ง มีหลักฐาน ที่สำคัญก็คือการปันผลครั้งที่ 1 เป็นการปันผลร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่า ใครลงมาเท่าไรได้คืนไปเท่านั้น ลงหนึ่งพันได้คืนกลับไปหนึ่งพัน ลงสองพันได้สองพัน ลงห้าพันได้ห้าพัน ลงหนึ่งหมื่นได้หนึ่งหมื่น คือผมต้องการขอบคุณผู้ร่วมลงขันครับว่า ต่อไปนี้สบายใจได้เลยว่าเงินที่คุณลงมา คุณได้คืนไปหมดแล้ว ที่เหลือคือเก็บกินได้ตลอดชีวิต และระหว่างปี 2546-2558 เราปันผลไปอีก 5 ครั้งด้วยกัน นั่นก็คือปี 2550, 2552, 2554, 2556 และก็ปีล่าสุดคือปี 2558

มีเสียงที่เราได้ยินและหนาหูมากๆ คือบอกว่า ติดต่อคุณวงศ์ทนง และ เดย์ โพเอทส์ มาตลอด แต่ก็เงียบ คุณวงศ์ทนงบอกว่าโอนไปแล้วจากสถิติทั้งหมด 6 ครั้ง ไม่ค่อยมีคนมาบอกเลยว่าได้รับเงินปันผลจากคุณวงศ์ทนง เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร

มีคนแจ้งมาเยอะครับ ผมขอยกตัวอย่างให้ดูว่าเรามีเอกสารของการปันผล ซึ่งเป็นใบเสร็จจริงๆ นี่คือ คุณปรียา เรืองชัยศรี ซื้อ 2 หุ้น นี่คือเอกสารการปันผลครั้งที่สอง ครั้งที่หนึ่งผมหาไม่เจอ ผมมีเอกสารปันผลครั้งที่สอง ปันผลครั้งที่สาม ปันผลครั้งที่สี่ ปันผลครั้งที่ห้า ปันผลครั้งที่หก คุณปรียาคือคนที่ได้รับปันผลทุกครั้ง แต่ปัญหาที่ผ่านมาก็คือ เวลามันผ่านไปนาน เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันได้หมดทุกคน วิธีที่จะปันผลก็คือ ปีหนึ่งเราก็จะมาดูผลประกอบการว่าเราได้กำไรหรือว่าขาดทุน อย่างที่บอกว่าในสามปีแรกเราไม่สามารถปันได้ และก็มีปีที่เราทำ a day Weekly แล้วล้มเหลว ซึ่งมันก็ทำให้ธุรกิจติดลบ เราก็เลยยังไม่สามารถที่จะปันผลได้ แต่ผมก็เขียนจดหมายไปอธิบายทุกครั้งนะครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันได้ทุกคน

บางคนอาจจะบอกว่าไม่เคยได้รับ สื่อสารด้วยวิธีการอะไรครับ

เราจะส่งจดหมายไปหาผู้ที่ร่วมลงขันทางไปรษณีย์ ในจดหมายนั้นผมจะลงมือเขียนข้อความเล่าความเป็นมาของบริษัทเราว่าทำอะไร ผมคงต้องขออนุญาต ดร.วิทย์ เพื่อเอาจดหมายบางฉบับที่ผมเขียนถึงผู้ร่วมลงขันมาอ่านให้ฟัง เพราะมันน่าจะสะท้อนอะไรบางอย่างให้ได้เห็นให้เข้าใจมากขึ้น อย่างเช่น ฉบับนี้เป็นวันที่ 25 ธันวาคม 2549

“สวัสดีครับ ผู้ร่วมลงขันทุกท่าน ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2550 ผมขอเป็นตัวแทนพนักงานบริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด ทุกคน กล่าวอวยพรให้ผู้ร่วมลงขันทุกคนและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ประสบความสำเร็จทุกสิ่งที่หวังไว้ ขอให้ปี 2550 เป็นปีแห่งการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ในชีวิตของทุกท่าน พร้อมจดหมายฉบับนี้ ผมได้จัดส่งหนังสือการ์ตูน a day Story Comic มอบให้แด่ผู้ร่วมลงขันทุกท่าน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ด้วยครับ ปีที่ผ่านมา บริษัทของเราพบกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้านด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ผมขอสรุปเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้ร่วมลงขันทุกท่านทราบดังนี้

1. เราย้ายบริษัทจากที่เคยอยู่ที่ซอยเอกมัย 3 สมัยเมื่อครั้งทำ a day Weekly มาอยู่รวมกันบนชั้นสามของเอกมัยช้อปปิ้งมอลล์ ที่ซอยเอกมัย 10 ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดค่าเช่า และสร้างความสนิทสนมในหมู่พนักงาน อีกทั้งยังทำให้เราทำงานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

2. ปีที่ผ่านมาเรารับพนักงานใหม่คนหนึ่งชื่อ นุ้ย-ปฏิกานต์ เทพมงคล เป็นผู้พิการทางสายตา จบจากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันนุ้ยเป็นเลขากองบรรณาธิการ a day มาได้ปีหนึ่งแล้ว นุ้ยทำงานได้ดีครับ มีประสิทธิภาพ ช่วยพี่ๆ เพื่อนๆ ในบริษัทให้มีพลังใจและก็มีน้ำใจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

3. ผลขาดทุนอันเนื่องมาจาก a day Weekly ค่อยๆ ลดลงตามลำดับ อันเนื่องมาจากรายได้นิตยสารสามเล่มคือ  a day, Hamburger, Knock Knock รวมทั้งสำนักพิมพ์ a book ที่สามารถทำกำไรได้ดี อย่างไรก็ดี ผลประกอบการโดยรวมเมื่อหักลบกลบหนี้ยังเรียกได้ว่าเสมอตัว อันเนื่องมาจากหนี้สะสมจากการทำ a day Weekly ที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้กับโรงพิมพ์

4. นอกจากชำระหนี้โรงพิมพ์ ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของปี 2549 ที่ผ่านมา คือการก่อสร้างออฟฟิศใหม่ ซึ่งใช้เงินสูงกว่า 500,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งให้เป็นโบนัสพนักงานระดับลูกน้องคนละครึ่งเดือน ซึ่งเป็นการได้โบนัสครั้งแรกในรอบ 3 ปี ส่วนพนักงานระดับหัวหน้าและฝ่ายโฆษณาไม่ได้โบนัส เงินจำนวนนี้เป็นจำนวนทั้งหมด 200,000 กว่าบาท

“อย่างไรก็ตาม เมื่อบวกลบคูณหารแล้วเราได้ประชุมกัน เห็นควรให้มีการปันผลแก่ผู้ร่วมลงขันทุกท่าน ในอัตราหุ้นละ 100 บาท จึงขอรบกวนทุกท่านส่งหลักฐานเหล่านี้ให้เราด้วย”

ในช่วงนั้นบริษัทอาจจะตกอยู่ในภาวะฝืดเคือง แต่ช่วงที่บริษัทอู้ฟู้ได้มีการส่งจดหมายติดต่อไปยังผู้ถือหุ้นหรือไม่

เราติดต่ออย่างต่อเนื่อง เช่นปี 2551 ผมก็ลงมือเขียนจดหมายยาวมาก เพราะอยากเล่าให้ฟังว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ เช่น ฉบับนี้ 3 กันยายน ปี 2551

“สวัสดีครับผู้ร่วมลงขัน ในสถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่นเคร่งเครียด ผมหวังว่าทุกท่านจะสุขสบายดีนะครับ จดหมายฉบับนี้ผมมาแจ้งความเคลื่อนไหวว่าในขณะนี้ บริษัทเรามีผู้เข้ามาร่วมลงทุนคือ บริษัท ซีวีดี เอนเตอร์เทนต์เมนต์ จำกัด มหาชน ซึ่งจะมาถือหุ้นแทน บริษัท Traffic Corner จำกัด ก็ให้เหตุผลว่าที่เราเปิดรับผู้ร่วมลงทุน นอกจากจะเพื่อให้สภาพการเงินคล่องขึ้นแล้ว ก็เพื่อขยายกิจการพร้อมกับลงทุนด้านอื่น ซึ่งซีวีดี เป็นบริษัทที่มีศักยภาพหลายด้านที่เราไม่มี ทั้งในด้านธุรกิจและการตลาด

“อย่างไรก็ตาม ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ที่ท่านลงขันกับเราเมื่อ 7 ปีที่แล้วยังอยู่ครบถ้วน ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า a day ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังคงเป็นบริษัทที่มีอุดมการณ์ในการเป็นสื่อมวลชนที่สร้างสรรค์สังคมอยู่เสมอ ที่สำคัญ a day จะคงรักษาความเป็น independent อยู่เหมือนวันแรกที่เริ่มก่อตั้งทุกประการ”

นอกจากนั้นก็อธิบายว่าในปลายปีนี้จะคำนวณผลประกอบการ ซึ่งเราต้องลงทุนไปทำ a day BULLETIN ผมคิดว่าเราจะปันผลให้ได้อีกครั้งหนึ่ง อาจจะไม่มากมาย แต่ก็ถือเป็นเจตนาที่อยากให้ได้ทราบว่าเราไม่ทอดทิ้งทุกท่านที่มีบุญคุณกับเรา

ปี 2552 เราก็แจ้งนะครับ เป็นจดหมายที่ผมนั่งเขียนเกือบทุกปีครับ

“มีเรื่องที่จะเรียน 2 เรื่อง คือการเข้ามาของบริษัท ซีวีดี เอนเตอร์เทนต์เมนต์ ปรากฏว่าพอร่วมงานกัน 3 เดือน เราพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีวัฒนธรรมองค์กรที่ต่างกัน ส่งผลให้ทำงานด้วยกันอย่างยากลำบาก ไม่สะดวกใจ ไม่สบายใจ ในที่สุดจึงเห็นพ้องกันว่าควรแยกทางกันจะดีกว่า ผมบอกว่าในฐานะคนทำงานคนหนึ่งรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คือการปันผลที่ประกาศไปว่าจะปันผลภายในปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้ร่วมลงขันติดต่อกลับมาน้อยมาก ทำให้เราไม่สามารถปันผลพร้อมกันได้ทีเดียว ผมจึงส่งจดหมายฉบับนี้ย้ำอีกครั้งเพื่อขอความกรุณาให้ผู้ที่เคยร่วมลงขันกับ a day ทุกท่านช่วยแจ้งข้อมูลต่างๆ มายังเราโดยด่วน และแจ้งตัวเลขเงินปันผลครั้งนี้คือ 10% ใครลง 1 หุ้น 1,000 บาท ก็จะได้รับเงิน 100 บาท ใครลง 10,000 บาท ก็จะได้รับเงิน 1,000 บาท ลงเงิน 100,000 บาท ก็ได้รับ  10,000 บาท และก็ชี้แจงว่าที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือเป็นระยะว่า หุ้นที่ท่านลงใน a day จะถูกฮุบไปแล้ว บางคนก็บอกว่าไม่เคยได้รับเงินปันผล ซึ่งไม่เป็นเรื่องจริงใดๆ ทั้งสิ้น

เรื่องนี้ผมพยายามอธิบายข้อเท็จจริงอยู่เสมอ แต่ปัญหาเรื่องหนึ่งที่ไม่ทราบจะแก้อย่างไรคือ เราไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันจำนวนมากได้ เนื่องจากหลายท่านเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เท่าที่ผมทำได้คือลงประกาศใน a day และ a day BULLETIN นิตยสารในเครือให้ติดต่อกลับมาทางเรา นี่เป็นหนึ่งในจดหมายที่ผมนั่งเขียนและส่งถึงผู้ร่วมลงขันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เราเป็นบริษัททำสื่อที่ต้องอาศัยความเชื่อถือมากๆ แล้วเราต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สังคมตั้งคำถาม แต่เราอธิบายไม่ได้ ผมว่ามันไม่น่าจะดี

 

ที่บอกว่าคนเหล่านี้ติดต่อไม่ได้ แล้วเงินของเขาอยู่ไหน

พอเป็นอย่างนี้ในช่วง 2 ปี ซึ่งเป็นปัญหามาก เราติดต่อไม่ได้จริงๆ แต่เราพยายามให้เห็นว่าเราพยายามติดต่อพวกเขาจริงๆ ถึงขนาดที่ผมเขียนโฆษณาลงใน a day และ a day BULLETIN ทำ print ads เพื่อประกาศตามหาผู้ร่วมลงขัน

“นิตยสาร a day เกิดจากการร่วมหุ้นระหว่างคนทำนิตยสารกับคนอ่านนิตยสาร นับตั้งแต่ปี 2543 ตั้งแต่ a day ฉบับแรก เราได้ติดต่อสื่อสาร แจ้งความเคลื่อนไหวของบริษัทแก่ผู้ร่วมลงขันเป็นระยะ ก็แจ้งมา 8 ปีกว่า ปันผลไปเท่านี้ๆ นะครับ a day ประกาศหาผู้ร่วมลงขันอีกครั้ง ขอเชิญทุกท่านที่ลงขันกับเรากรุณาอัพเดตที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หรืออีเมลมายังเรา สุดท้ายพวกเราคนทำ a day ทุกชีวิตขอยืนยันว่าเงินทุกบาทที่ท่านได้ให้เราจ่ายลงขัน ยังคงอยู่ครบ และท่านยังมีสิทธิเป็นเจ้าของนิตยสารเล่มนี้โดยสมบูรณ์”

ประกาศฉบับนี้เป็นของปีไหน

จำไม่ได้ครับ เป็นก๊อปปี้ที่ผมทำไว้ลง a day และ a day BULLETIN เพราะ 2-3 ครั้งให้หลัง ด้วยความที่ไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันได้ เราส่งจดหมายไป แต่ก็ถูกตีกลับมาเยอะมาก ผมเลยมีความคิดเหมือนอย่างปี 2555

“สวัสดีครับ ผู้ร่วมลงขันทุกท่าน จดหมายฉบับนี้แจ้งทุกท่านว่า ปีนี้เราได้ปันผลกำไรให้ผู้ลงขันอัตราหุ้นละ 10% เหมือนเช่นหลายปีที่ผ่านมา โดยเราทำการทยอยโอนเงินไปให้แล้วตามหมายเลขบัญชีที่ท่านติดต่อกับเรา แต่ก็เช่นเคยเหมือนทุกปี เราไม่สามารถติดต่อผู้ร่วมลงขันได้ครบทุกท่าน เนื่องจากบางท่านย้ายที่อยู่ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เลิกใช้อีเมล ดังนั้นจึงมีเงินปันผลที่เราเตรียมไว้เหลืออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งท่านมีทางเลือกดังต่อไปนี้

1. สำหรับท่านที่ยังไม่ได้รับ และต้องการเงินปันผล รบกวนแจ้งที่คุณกุ้ง (เลขาส่วนตัวของผม) ซึ่งผมก็ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไป

2. หากไม่ได้รับการติดต่อจากท่านภายในวันและเวลาดังกล่าว เราขออนุญาตนำเงินปันผลของท่าน มอบให้กับ a day Foundation ไว้เป็นทุนเพื่อทำกิจกรรมสังคมต่อไป

3. สำหรับท่านที่ไม่ต้องการรับเงินปันผล แต่อยากบริจาคให้ a day Foundation เพื่อไว้ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ก็สามารถอีเมล หรือโทรศัพท์แจ้งมายังคุณกุ้งได้เช่นกัน”

มีผู้ชมไลฟ์ถามมาว่า บางคนมีหุ้นอยู่แล้ว ยังไม่ได้รับกลับคืน ใช้สิทธิอะไรในการนำเงินปันผลของคนที่เป็นเจ้าของหุ้นที่ยังไม่ได้แสดงความจำนงนำไปอยู่ที่ a day Foundation แทนที่จะส่งมอบให้กับกรมบังคับคดี

ผมไม่ทราบเทคนิคเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่านี่คือการแสดงความบริสุทธิ์ใจของเรา ผมคิดว่าท่านที่มีคำถามนี้อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ร่วมลงขันกับเราตั้งแต่ต้น เพราะในเอกสารที่ส่งไปถึงผู้ร่วมลงขัน เรามีการเขียนถึงข้อตกลงร่วมกันเอาไว้ว่า การบริหารธุรกิจ หรือการตัดสินใจในเชิงธุรกิจของเราขอสงวนสิทธิ์ให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร เพราะเราเล็งเห็นว่าถ้าเปิดโอกาสให้คนจำนวนมากออกความเห็นว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ยุ่งมาก

ผมเพียงแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า a day Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร แต่เป็นมูลนิธิ เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปเปิด ‘a day Foundation Book Shop’ ร้านหนังสือมือสองเพื่อสังคม ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่หาดใหญ่ ซึ่งก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งจากผู้ร่วมลงขันที่เราไม่สามารถติดต่อกลับได้มาสมทบทุนในโครงการนี้จำนวนหลายแสนบาท ผมคิดว่ามันเป็นวิธีการแสดงความบริสุทธิ์ใจของผมนะครับ

หากคนที่ถือหุ้นเดิม และอาจจะขาดการติดต่อกับคุณวงศ์ทนงไป ณ ปัจจุบัน พวกเขายังมีสิทธิในตัวหุ้นอยู่ไหม

แน่นอนครับ สิทธิเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยครับ

ข้อหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน รู้พร้อมทุกคน ข้อสอง จุดยืนของผมคือผมไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ และสาม ผมจะพยายามล้มดีลนี้ให้ได้

แล้วจะมีสิทธิเคลมหุ้นได้อย่างไร

ยินดีเลยครับ นี่เป็นโอกาสดีมากเลยครับ ที่ผมจะได้ตามหาผู้ร่วมลงขัน เพราะที่ผมพูดมา ท่านก็คงเห็นความพยายามว่าเราไม่ได้ละเลยหรือทอดทิ้ง เราพยายามตามหาอยู่เสมอ เงินสำหรับท่านที่ไม่ได้ติดต่อมาและไม่ได้ติดต่อกลับไป เราแสดงความโปร่งใสด้วยการโอนมาไว้ใน a day Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิเพื่อสังคมที่ผมตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ซึ่งเราตอบกลับไปก็มีคนตอบกลับเรามาเยอะแยะเลยครับ (โชว์เอกสารให้ดู) อย่างเช่น คุณปราณี หมายเลขหุ้น 2493 บอกว่า ฝากคุณกุ้งนำเงินไปปันผล a day Foundation ด้วยนะคะ หรืออย่างผู้ถือหุ้นบางคนบอกว่าขอแจ้งว่าขอบริจาคเงินปันผลให้ a day Foundation มีคนบอกมาเยอะแยะเลย เงินปันผล หมายเลข 1752, 1753 เงินปันผล 200 บาท ของคุณจารุวรรณ ม่วงย้าย ขอบริจาคให้ a day Foundation นี่คือสิ่งที่เป็นจริง

แล้วทีนี้มูลค่าหุ้นเดิมที่เขาเคยลงขันยังคงอยู่หรือเปล่า

คือแบบนี้นะครับ ระหว่างที่เรากำลังระดมทุนเพื่อที่จะมาลงขัน ช่วงเริ่มต้นผมก็ตั้งบริษัท ชื่อ Day After Day ขึ้นมา เพื่อที่จะทำนิตยสาร a day ระหว่างรอเงินอยู่ บริษัทนี้ก็ถือหุ้นโดยผม คุณนิติพัฒน์ สุขสวย และคุณภาสกร ประมูลวงศ์​ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง a day ทั้ง 3 คน แต่คนที่ร่วมลงขันในที่สุดแล้วเราก็มี 459 คน เราก็รักษาผู้ร่วมลงขันกลุ่มนี้ไว้

ทีนี้ปีที่เราร่วมกับ Traffic Corner คือปี 2546 ครับ ระหว่าง 2546-2547 บริษัท Day After Day ก็ยังอยู่ แต่ว่าพอร่วม joint venture ด้วยกัน เราก็ตั้งบริษัทขึ้นมาบริษัทที่ว่านั้นคือบริษัท เดย์ โพเอทส์ คือเราได้แจ้ง Traffic Corner เหมือนกันว่าบริษัท Day After Day มีผู้ร่วมลงขันอยู่ด้วยนะครับ ซึ่งผู้ร่วมลงขันไม่ได้ถือหุ้นอยู่ใน บริษัท Day After Day แต่เป็นกลุ่มคนที่ร่วมลงเงินกับเรา คือการจดทะเบียนบริษัทร่วมกัน 459 คนมันเป็นเรื่องยากมาก

รออยู่ว่าดีลนี้จะยุติหรือไม่ ถ้าไม่ ผมย้ำอีกทีว่าผมจะขอลาออกจาก บริษัท เดย์ โพเอทส์ (เดย์ โพเอทส์)

เท่ากับว่าแบ่งเป็นคนละนิติบุคคล

ใช่ครับ ทาง Traffic Corner ก็เข้าใจเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ตกลงกับเขาว่าโอเค เราแยกจากกัน เวลามีผลประกอบการและผลกำไรอย่างไร ก็เอาเงินจาก เดย์ โพเอทส์ ไปดูแลคนร่วมลงขันกับ Day After Day

คนที่มีสิทธิเดิม ก็เท่ากับมีสิทธิอยู่ที่บริษัทเดิม

ใช่ครับ

ตอนนี้อยากพูดอะไรกับผู้ถือหุ้น

ตอนนี้มีอยู่ 2-3 ท่านที่ผมอยากจะพูดถึง คนแรกคือ คุณไทยทอง ทองไทย ผมจำได้ครับ ผมจำพี่จืดได้เลยครับ พี่จืดนี่ผมโทรไปคุยแล้วนะครับ ที่เป็นข่าวว่าพี่จืดโพสต์แล้วมีคนแชร์เยอะมาก ผมว่าในโพสต์นี้ยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่ ผมจำได้เลยว่าพี่จืดซื้อหุ้นผม 21 หุ้น เป็นเงิน 21,000 บาท

ในโพสต์บอกว่าได้รับการติดต่อครั้งเดียว ปันผลครั้งเดียวแล้วหายไปเลย ซึ่งเราเช็กแล้วพบว่าเราปันผลไป 3 ครั้ง นี่คือเอกสารของการปันผล (โชว์เอกสารการปันผล) แต่ผมเข้าใจว่าพี่จืดอาจจะจำไม่ได้ หรือมีคนรับแทน ซึ่งถ้าเป็นผม ผมก็ลืมเหมือนกัน คือเวลามันนานมาก

แต่ละก้อนนี่แบ่งอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละปีก็มีสัดส่วนไม่เท่ากัน

ใช่ครับ อย่างปีแรกปันผล 100% ได้คืนกลับไป 21,000 บาท อีกสองปีถัดมาที่มีหลักฐานอยู่ ก็ได้ 2,100 บาท เพราะฉะนั้นไม่ใช่หนึ่งครั้งแน่นอน แต่ที่สำคัญนะครับ ดร.วิทย์ ปีไหนที่เราติดลบนะครับ อย่างเช่นปีที่ขาดทุนจาก a day Weekly หลายสิบล้านบาท ผมก็ส่งของอย่างอื่นไปให้นะครับ ส่งกระเป๋า a day ไปให้ ส่งหนังสือ พ็อกเก็ตบุ๊กไปให้ ส่ง a day BULLETIN ไปให้ เราถือว่าเรายังต้องตอบแทนอยู่

แม้ไม่มีเงินก็ต้องเห็นว่าเราไม่ได้ละเลยเขา ก็ยังมีหลักฐานว่าเราส่งกระเป๋าไป 400-500 ใบ พยายามจะเอาหลักฐานมาให้ดูนะครับ ผมโทรไปหาพี่จืดนะครับ แกก็เข้าอกเข้าใจผมมาก ไม่ได้ตั้งใจที่จะดิสเครดิตอะไร เพียงแต่สงสัยและอยากถาม ผมยินดีมากที่จะตอบและก็ย้ำไปอีกทีว่าผมไม่ได้ปันผลครั้งเดียว ระหว่างนี้ผมปันผลไป 6 ครั้ง พร้อมกับแจ้งข่าวคราวอยู่เสมอ ผมยืนยันว่าที่เล่าไปเมื่อสักครู่ เราก็รีพอร์ตอยู่เสมอๆ แม้กระทั่งในจดหมายเมื่อกี้ที่ผมเขียนถึงผู้ร่วมลงขัน เราไปร่วมกับใคร เพื่อเหตุผลอะไร เราก็อธิบายไปหมด

ผมดีใจที่ได้แสดงให้น้องๆ พนักงานบริษัทผม 100 กว่าคนเห็นว่า ผมเป็นหัวหน้าที่ไม่หนีปัญหา กล้าหาญ และกล้ายืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง

บางคนบอกว่าอุดมการณ์ ปณิธานคนทำหนังสือ ตอนแรกตั้งใจเป็นหนังสือเย็บแม็ก ท้ายที่สุดก็แต่งองค์ทรงเครื่องจนกลายเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ขึ้น อาจจะเริ่มต้นมีอิทธิพลของการค้ามาแทรกบ้างไม่เหมือนเดิมสักเท่าไร  ตกลงยังมีอุดมการณ์ ปณิธานอยู่ไหมครับ

ก่อนที่จะพูดเรื่องอุดมการณ์ ปณิธาน ผมพูดเรื่องสิ่งที่เราทำอยู่เสมอดีกว่านะครับ คือตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ใครที่อ่านหนังสือเรา เป็นแฟนสื่อในเครือเรา ก็คงจะรู้ว่าเราเป็นสื่อที่ตั้งใจจะทำสื่อที่ดีอยู่เสมอมา สื่อที่ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้ทัศนคติ ให้แรงพลังกับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำตลอดมาเลย

ส่วนในด้านธุรกิจ คนที่ทำสื่อ โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ ดร.วิทย์ทราบไหมครับ มันเป็นสื่อที่ยากมากที่จะดำรงมันให้อยู่ได้ในเชิงธุรกิจ เพราะมันเป็นสื่อที่พูดง่ายๆ ใครอยากรวยไม่มาทำหนังสือหรอกครับ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ต้องออกเงินไปก่อนเยอะมาก กว่าจะได้กลับมาเป็นค่าโฆษณา มันต้องอาศัยเงินหมุนมหาศาล แล้วเหตุผลที่เราร่วมกับบริษัทโดยการขายหุ้นให้เขา ไม่มีอะไรมากไปกว่าเราอยากอยู่ให้ได้ในเชิงธุรกิจ เราอยากทำสื่อของเราไปนานๆ เราไม่ได้มีความคิดที่หวังจะอยากรวยอะไรเลย

คนมองจากข้างนอกอาจจะคิดว่าวงศ์ทนงรวยมาก คือดูแล้วรวย อย่างเราเห็นว่ามีหนังสือกี่เล่ม เติบโตเท่าไร  ยิ่งระยะหลังเปิดมาโฆษณาเยอะแยะเลย เขามองอย่างนั้นไง แล้วรวยไหมครับ

ความจริงมันมีค่าใช้จ่ายที่คนอาจจะไม่รู้อีกเยอะมาก มันเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินหมุนเวียน แน่นอนว่าบางปีก็กำไร แต่บางปีก็ขาดทุน แต่ที่สำคัญก็คือจุดประสงค์ของเรามีอยู่แค่นี้ครับ ถ้าเป็นเรื่องอุดมการณ์ ผมไม่ได้อยากเป็นคนที่จะมาพูดว่าตัวเองมีอุดมการณ์สูงส่งอะไร อุดมการณ์ของผมถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือเราอยากเป็นคนทำสื่อดีๆ แล้วอยู่ได้นานๆ แต่แน่นอนที่สำคัญที่สุดก็คือต้องอยู่ได้ด้วยวิธีที่สง่างามและถูกต้อง

ทีนี้มาถึงเรื่องของความพยายามของกลุ่มทุนคือ โพลาริส ที่จะมาซื้อ ซึ่งจะทำให้มูลค่าของ เดย์ โพเอทส์ สูงขึ้นเยอะ คือมูลค่าแบรนด์จะสูงขึ้นมหาศาล หลายคนสงสัยว่าอุดมการณ์จะคลอนแคลนหรือเปล่า ขณะที่ผมอ่านจากรายงานข่าวคุณวงศ์ทนงบอกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้ดีลนี้ไม่เกิดขึ้น ผมถามก่อนว่าจุดยืนตอนนี้เป็นอย่างไรครับ

เอาเริ่มต้นก่อนแล้วกันนะครับ ผมได้รับทราบข่าวนี้ประมาณวันที่ 27 หรือ 28 ไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าก่อนปีใหม่ แล้วก็ทราบจากทวิตเตอร์ของโพสต์ทูเดย์ พอดีฟอลโลว์อยู่ ก็เห็นว่าบริษัท เดย์ โพเอทส์ ของผมกลายเป็นข่าวขายหุ้นให้กับบริษัทที่ชื่อว่า โพลาร์ หรือโพลาริส ซึ่งเป็นชื่อที่ผมได้ยินครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จักชื่อมาก่อน ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามนะครับว่าผมไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นกรรมการผู้จัดการ

ผมถามในฐานะคนที่บริโภคสื่อนะ ถ้ามองอีกด้านหนึ่งคุณวงศ์ทนงก็บอกว่าจะปกป้อง จะทำให้ดีลนี้ไม่เกิดขึ้น แต่คนก็มองว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยรู้เรื่องดีลนี้มาก่อน บริษัทตัวเองชัดๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมทราบนะครับว่าท่านมีสิทธิที่จะสงสัยเลยว่าผมเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ผมจะไม่รู้เรื่องดีลนี้ได้อย่างไร แต่ผมขออธิบายอย่างนี้ครับ ตั้งแต่ทำ a day หรือตั้งแต่ทำบริษัท ผมรู้ตัวว่าผมเก่งอะไร ผมรู้ตัวว่าผมอ่อนอะไร ไม่อยากทำอะไร เรื่องที่ผมรู้ว่าผมเชี่ยวชาญก็คือทำเนื้อหา ทำคอนเทนต์ ผมชอบทำคอนเทนต์ ชอบเป็นครีเอทีฟ ชอบทำงานเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องที่ผมอ่อนก็คือ เรื่องธุรกิจ เรื่องการเงิน เรื่องตัวเลข ผมไม่ชอบ ผมคิดเลขไม่เป็นเลย ผมก็เลยให้เพื่อนผม คุณนิติพัฒน์ สุขสวย ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กันช่วยดูแลในส่วนนี้ไว้ ส่วนผมก็มาลุยในเรื่องคอนเทนต์ แบ่งงานกันทำ คุณนิติพัฒน์เขาเก่งเรื่องตัวเลข เขาเก่งเรื่องธุรกิจ เขาก็ทำงาน ประสานงานกับบริษัท Traffic Corner กับผู้ถือหุ้นใหญ่ของเรามาโดยตลอด ผมว่าเขาก็ทำได้ดีนะ ไม่อย่างนั้นบริษัทผมอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ทยอยกันปิดตัว ทีนี้ในเชิงบริษัท ผมดูใหญ่สุดเลยใช่ไหม เป็น MD หรือกรรมการผู้จัดการบริษัทจริงๆ แต่ว่าในเชิงของผู้ถือหุ้นบริษัท ในแง่การเงิน และบัญชีต่างๆ ดร.วิทย์ทราบไหมครับว่าผมมีหุ้นอยู่ในบริษัท เดย์ โพเอทส์ เท่าไร?

ผมไม่ทราบ

ผมมีหุ้นอยู่ใน เดย์ โพเอทส์ 1 หุ้น ไม่ใช่ 1 เปอร์เซ็นต์ 1 หุ้น แล้วผมก็ไม่รู้เลยว่าหุ้นทั้งหมดมีกี่หุ้น ซึ่งผมก็เพิ่งรู้จากสำนักข่าวอิศราเหมือนกันว่าผมมี 1 หุ้น คุณเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นมันอธิบายได้ว่าเรื่องดีลนี้ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่เคยรู้ว่ามีดีลนี้มาก่อน จนกระทั่งรู้พร้อมกับทุกคน แต่แน่นอนว่าเมื่อผมรู้ปุ๊บ ผมก็โทรถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น คำอธิบายที่ผมได้รับก็คือ โอ๊ย ไม่มีอะไร มันเป็นเชิงธุรกิจ ไม่ต้องกังวลไป เป็นเรื่องทางธุรกิจ เดี๋ยวเราก็ได้เงินมาทำโน่นทำนี่ แล้วที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าบริษัทก็มีเรื่องที่ติดๆ ขัดๆ ทางผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ต้องควักเงินส่วนตัวลงไปเยอะ เพราะฉะนั้นพอทำดีลนี้เสร็จ เราก็จะได้เงินมาทำงาน มีสภาพคล่องมากขึ้น ส่วนคนทำงานก็เหมือนเดิม มีสิทธิเสรีภาพเหมือนเดิม

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ ผมกับพาร์ตเนอร์ผม คุณนิติพัฒน์ สุขสวย
มีความเห็นตรงกันว่า เราจะตัดสินใจซื้อบริษัทของเรากลับคืนมาทำกันเองแบบเล็กๆ
และเราจะจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ให้มันชัดเจน
ที่ผมคิดไว้ก็คือ โครงสร้าง 30, 30, 30 และก็ 10 ผมกับคุณนิติพัฒน์ถือคนละ 30%
ผู้ถือหุ้นนายทุนรายใหม่ถือ 30% และคนที่ร่วมลงขันทั้งหมด 459 คนถือ 10%
ผมว่ามันจะชัดเจนและก็โปร่งใสมาก นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ และก็จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้

คือผู้ถือหุ้นใหญ่ดูเหมือนกับว่าอยากจะให้ดีลนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า

เขาคิดว่าเป็นเรื่องดีครับ

แล้วตัวคุณวงศ์ทนงเองล่ะ

ผมฟังทีแรกผมว่าก็โอเค เพราะว่าในการทำงานผมก็ทราบนะว่าธุรกิจก็ต้องใช้เงิน ก็โอเค ไม่คิดอะไร ผมคิดว่าเขาคงตัดสินใจดีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น ในชีวิตผมไม่เคยเล่นหุ้นเลยสักตัว ไม่สนใจด้วย ไม่ชอบด้วยซ้ำ เงินฝากผมอยู่ธนาคารออมสิน คุณเข้าใจคนอย่างผมไหมครับ

ผมพอเข้าใจได้ แต่ทีนี้จุดยืนของคุณวงศ์ทนงที่จะมีต่อเรื่องนี้ ได้คุยกับเขาว่าอย่างไร ถ้าเกิดคุณวงศ์ทนงบอกว่าไม่ชอบดีลนี้ แต่ถ้าเกิดเขาตบเท้าเข้ามาจริงๆ และมองว่าเป็นการเก็งกำไรจริงๆ คุณวงศ์ทนงจะทำอย่างไร

คือทีแรกที่ผมรับฟังคำอธิบายจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมก็คิดว่าคงไม่มีอะไรนะครับ แต่ต่อมาผมก็ตามข่าวนี้จากสำนักข่าวอิศรา ซึ่งหลายๆ ท่านก็ตามอยู่เหมือนกัน ทีนี้ข้อมูลที่มันทยอยออกมาเรื่อยๆ ผมอ่านแล้วผมไม่สบายใจ เพราะมันมีข้อมูลหลายๆ เรื่องที่อธิบายให้กับสังคมไม่ได้ สังคมตั้งคำถาม ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว ผมพยายามติดต่อกับผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ตอนนั้นท่านไปต่างประเทศ สุดท้ายผมรู้สึกว่ามันไม่ดีเท่าไรแล้ว มันไม่ใช่อย่างที่คุยกันทีแรก มันไม่น่าจะเป็นวิถีทางที่เราจะร่วมไปด้วย เพราะว่าบริษัทผมเป็นบริษัทที่ผลิตสื่อ ทำสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อบางตัวของเราเป็นสื่อในเชิงข่าว อย่าง a day BULLETIN และ The Momentum ที่เป็นสำนักข่าว ถ้าเราเป็นบริษัททำสื่อที่ต้องอาศัยความเชื่อถือมากๆ แล้วเราต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สังคมตั้งคำถาม แต่เราอธิบายไม่ได้ ผมว่ามันไม่น่าจะดี ตอนนั้นมีสื่อติดต่อขอสัมภาษณ์ผมเยอะ หนังสือพิมพ์ก็เยอะมาก รวมทั้งสำนักข่าวอิศราด้วย แต่ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไร เพราะผมไม่ทราบข้อมูลเรื่องดีลนี้จริงๆ

แต่มีอยู่วันหนึ่งผมรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เพราะว่ากระแสเริ่มมาในทางที่ว่าผมรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ ซึ่งมันก็เริ่มมีข่าวมาแล้วว่าวงศ์ทนงขายอุดมการณ์ ขาย a day แลกเงิน 300 ล้าน ผมรู้สึกว่าผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ผมเลยตัดสินใจเขียน direct message ทางทวิตเตอร์ถึงสำนักข่าวอิศรา อธิบายให้ฟัง และยืนยันว่า ข้อหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน รู้พร้อมทุกคน ข้อสอง จุดยืนของผมคือผมไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ และสาม ผมจะพยายามล้มดีลนี้ให้ได้ มันก็เป็น personal message ที่ส่งไป แต่สำนักข่าวอิศราก็เอาไปลงข่าว ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็ผิดมารยาทเหมือนกันนะครับ แต่ว่าผลที่ออกมาก็… ข้อดีคือมันทำให้หลายคนเข้าใจเรามากขึ้น จากการที่เข้าใจผิดไปทางนั้นหมด ก็เริ่มเข้าใจว่าผมไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมไม่ได้รู้เห็น ผมไม่ได้อยากได้ดีลนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง

จากวันนั้นที่ส่ง Direct Message ไปจนถึงวันนี้ คำถามแรกคุณวงศ์ทนงรู้อะไรเพิ่มเติมจากวันแรกแล้วหรือยัง จุดยืนยังเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าเกิดดีลนี้เกิดขึ้นจริงคุณวงศ์ทนงจะมีจุดยืนอย่างไร

ผมเพิ่งได้คุยกับผู้ถือหุ้นใหญ่เมื่อตอนต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วผมก็ยืนยันครับว่า ผมและ เดย์ โพเอทส์ ไม่ต้องการให้เกิดดีลนี้ ขอให้ล้มดีลนี้ ซึ่งทางผู้ถือหุ้นใหญ่ก็รับฟังด้วยดี แล้วก็เห็นอกเห็นใจเรา เข้าใจคนทำงานว่าคนทำงานอึดอัด ก็รับไว้พิจารณา

สมมติว่าดีลนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคุณวงศ์ทนงเพราะเขาอาจจะเข้ามาคุกคามอุดมการณ์ มีแผน หรือทางออกกับเรื่องนี้อย่างไร

ชัดเจนมากครับ ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น ผมลาออกแน่นอนครับ มันเป็นจุดยืนของผม

ผมขออนุญาตถามนิดหนึ่ง ถ้าบอกว่าจุดยืนนี้กับสิ่งที่กำลังจะเข้ามามันเข้ากันไม่ได้ ขออนุญาตถามว่ามันไม่สอดรับกันตรงไหนถึงคิดว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้

ผมว่าใครที่ตามข่าวนี้อยู่ แล้วเห็นข้อมูลที่สำนักข่าวอิศราทยอยเปิดเผยออกมาก็คงรู้สึกเหมือนผมนะครับว่า ไม่สบายใจ เพราะมันมีหลายจุดที่อธิบายยาก อธิบายลำบากในเรื่องของความถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมยืนยันว่าเราเป็นบริษัททำสื่อ ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตอบคำถามของสังคมไม่ได้ แล้วต่อไปเราจะไปให้ใครเชื่อเราได้อีก เพราะฉะนั้นถ้ายังมีดีลนี้อยู่ผมไม่สามารถอยู่ได้จริงๆ

จะบอกว่าความน่าเชื่อถือสำคัญ?

สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานสื่อ

มีอะไรอีกไหมที่อยู่ในใจ หรือเป็นข้อเท็จจริงที่คุณวงศ์ทนงอยากให้สังคมได้รับรู้ แต่ที่ผ่านมาอาจจะยังไม่ถูกนำไปให้สังคมพิจารณา

ก่อนอื่นขอบคุณ ดร.วิทย์ มากที่มาร่วมพูดคุยกับผมวันนี้ สำหรับผมแล้วมันเป็นวันที่ผมรอคอยมาก เป็นวันที่ผมอยากให้มาถึงเร็วๆ เพื่อที่ผมจะได้อธิบายข้อมูล ข้อเท็จจริงบางอย่างที่หลายๆ ท่านอาจจะไม่ทราบและด่วนสรุปไป ที่ผ่านมาผมโดนวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก โดนด่าแบบสาดเสียเทเสียก็เยอะ แม้กระทั่งใน The Momentum ลองไปอ่านดูก็ได้ว่ามันเต็มไปด้วย hate speech ที่รับฟังข้อมูลจากฝ่ายเดียว จากฝั่งเดียวแล้วก็ด่วนสรุป ด่วนตัดสินเรา ถ้าพูดให้เฉพาะเจาะจงไปก็คือ ข่าวจากเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งเป็นข่าวที่คนแชร์กันเยอะมากเลย ทีแรกผมไม่คิดเลยนะว่า… เอาอย่างนี้ดีกว่า ทีแรกที่ผมเห็นข่าวนี้มาจากผู้จัดการ ผู้จัดการพูดเรื่องอุดมการณ์ พูดเรื่องจรรยาบรรณ พูดเรื่องจริยธรรม ผมว่ามันตลกนะ เพราะถ้าคุณไปอ่านเนื้อข่าวนี้จริงๆ อ่านแบบระหว่างบรรทัด คุณจะเห็นว่าในเชิงโครงสร้างของมันเป็นข่าว ‘คอลลาจ’ ที่เอาข้อมูลมาตัดแปะ แล้วใส่ทรรศนะความเห็นตัวเองลงไป ซึ่งมีความตั้งใจจะให้คนจงเกลียดจงชัง เข้าใจเราผิด ซึ่งเป็นลักษณะที่ผู้จัดการใช้มาตลอด เป็นการนำเสนอข่าวแบบซ้อเจ็ด

ตอนแรกผมไม่คิดว่าคนจะให้ค่ากับข่าวนี้ แต่ปรากฏว่าข่าวนี้ถูกแชร์ไปเยอะมาก ที่สำคัญคนก็เชื่อกันเยอะและพิพากษาว่าเราผิด เราทำไม่ดี ยิ่งในยุคสมัยนี้เราชอบสรุปอะไรกันสั้นๆ เป็นยุคสมัยแห่งการสรุป วันก่อนผมเพิ่งได้ไปคุยกับ พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ซึ่งถือหุ้น a day 1 หุ้น เพื่ออธิบายให้เขาเข้าใจ

พี่จิกถามเพื่อนเขาว่า “a day เกิดเรื่องอะไร?” เพื่อนก็บอกกลับมาว่า “เรื่องมันยาว แต่จะสรุปให้คือ โหน่งขายหุ้น a day ได้ 300 ล้านบาท แล้วไม่แบ่งคนที่ร่วมลงขันมาด้วยกันตั้งแต่ต้น” ซึ่งเป็นการสรุปสั้นๆ ที่ผิดโดยสิ้นเชิง

ความจริงผมชอบอ่านข่าวจากผู้จัดการมาก มีข่าวดีๆ อยู่มากมาย ข่าวการศึกษา ข่าววัฒนธรรม ข่าวสังคม แต่สำหรับข่าวชิ้นนี้ผมว่าเป็นข่าวที่ไร้คุณภาพมาก และเห็นถึงความตั้งใจที่จะทำให้คนจงเกลียดจงชังเรา ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของผมแนะนำว่าผมสามารถฟ้องคนที่เขียนข่าวนี้ได้ แต่ผมยืนยันว่าผมไม่มีความคิดที่จะฟ้องสื่อมวลชนด้วยกัน ผมเข้าใจว่าช่วงนี้คนทำสื่อลำบาก ทั้งด้านธุรกิจและการควบคุมจากรัฐบาล หรือ พ.ร.บ. สื่อที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วย

ผมยืนยันว่าผมจะไม่ฟ้องผู้จัดการ แต่ฝากไปถึงคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล และพชร สมุทวณิช ที่ดูแลผู้จัดการอยู่ว่าติดต่อขอสัมภาษณ์ผมได้ ข้อมูลจะได้รอบด้านและไม่เป็นข้อมูลที่มโนคิดไปเอง ผมยินดีแทรกคิวให้ผู้จัดการ เพราะตอนนี้มีสื่อติดต่อขอสัมภาษณ์เยอะมาก แต่มีข้อแม้อย่างเดียวว่าพอเอาไปเขียน ผมขออีดิต และตรวจนิดหนึ่ง เพราะผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเอาไปบิดเบือนอะไรหรือเปล่า

(ครุ่นคิด) เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ’ ไหมครับ ผมได้ยินคำนี้มานานมากแล้ว แต่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ผมรู้สึกลึกซึ้งกับคำกล่าวนี้มาก เหตุการณ์นี้มันอาจจะเริ่มต้นด้วยการที่ผมถูกโจมตี ด่าในเรื่องที่ไม่เป็นจริง และเข้าใจผิด แต่สุดท้ายผมว่ามันเป็นโอกาสดีมากที่ผมจะได้มาอธิบายและพูดความจริงบางด้านให้ทุกท่านได้รับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ร่วมลงขันทุกท่านที่ผมเป็นห่วงมาก ผมพยายามหาเอกสารมาอธิบายให้ท่านฟัง และคงจะยืนยันได้ว่าเราไม่ได้ทอดทิ้งท่าน เรายังดูแลท่านอยู่เสมอ เชื่อเถอะครับ ผมซาบซึ้งกับทุกท่านที่ลงขันกับเราเมื่อ 16 ปีที่แล้วมาก และผมก็จะดูแลท่านตลอดชีวิต ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ได้

สำหรับคนทั่วๆ ไปที่อ่านข่าวด้านเดียวแล้วอาจจะด่วนสรุป ผมอยากให้ท่านทบทวนความคิดเรื่องนี้ว่า ทุกวันนี้สังคมเราเห็นเหตุการณ์ หรืออ่านข่าวใดๆ ก็จะด่วนสรุป ตัดสิน และพิพากษาเขาทันที ซึ่งเป็นการทำร้ายคนมาเยอะมากแล้ว

จำเหตุการณ์คนใส่รองเท้ามีรูบนรถไฟฟ้าแล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตติดกล้องถ่ายใต้กระโปรงคนได้ไหมครับ? ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาก็ถูกด่าและโจมตีจนเขาอยู่ไม่ได้ แม้จะออกมาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำ เพราะรองเท้าขาด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเขาก็สายเกินแก้

ผมว่านี่จะเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ท่านที่ยังไม่เข้าใจเรา เข้าใจผิด หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนจะได้เข้าใจเรามากขึ้น ผมขอสรุปสั้นๆ อีกครั้งเผื่อใครที่อาจจะเข้ามาชมในช่วงหลังๆ แล้วไม่ได้ชมตอนต้น สรุปก็คือ

1. ผมไม่เคยทอดทิ้งผู้ร่วมลงขัน ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีการปันผลไปแล้ว 6 ครั้ง ในปี 2546, 2550, 2552, 2554, 2556, 2558 ที่สำคัญคือการปันผลครั้งแรกเป็นการปันผลแบบ 100% ซึ่งใครลงเงินจำนวนเท่าไรก็จะได้คืนตามนั้น หุ้นของเขาก็ยังอยู่เสมอ เป็นกำไรที่เก็บกินได้ตลอดชีวิต จดหมายต่างๆ ที่ผมพยายามส่งไปถึงผู้ร่วมลงขันคงแสดงเจตนารมณ์ได้ดีว่าผมไม่ทอดทิ้งพวกเขา

2. ผมยืนยันว่าผมไม่ทราบเรื่องการขายหุ้นให้กับบริษัทโพลาร์ ผมได้รับรู้เรื่องทั้งหมดพร้อมๆ กับทุกคน เหตุผลเพราะผมมีหุ้นในบริษัทแค่ 1 หุ้น ซึ่งไม่มีความหมายเลย ไม่ต้องเรียกประชุม ไม่มีส่วนได้เสียใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผมไม่รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เมื่อผมรู้เรื่อง ผมก็ไม่นิ่งนอนใจเพราะรู้สึกไม่สบายใจกับลักษณะของดีล ผมยืนยันกับผู้ถือหุ้นใหญ่ว่าผมขอไม่เอาดีลนี้ ซึ่งได้คุยกันแล้ว และรออยู่ว่าดีลนี้จะยุติหรือไม่ ถ้าไม่ ผมย้ำอีกทีว่าผมจะขอลาออกจาก บริษัท เดย์ โพเอทส์

ที่ผ่านมาผมเข้าใจว่ามีสื่อที่อยากเข้ามาสัมภาษณ์เรามาก แต่อาจจะยังไม่มีโอกาสได้พูดคุย แต่อย่างน้อยก็ได้อีกมุมหนึ่งที่พูดคุยกันไป

สุดท้ายก็ยังมีเรื่องที่ผมรู้สึกดีใจ อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง ผมดีใจที่ได้แสดงให้น้องๆ พนักงานบริษัทผม 100 กว่าคนเห็นว่า ผมเป็นหัวหน้าที่ไม่หนีปัญหา กล้าหาญ และกล้ายืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง ผมแอบคิดว่าพวกเขาน่าจะมีความภูมิใจในตัวผมมากขึ้นว่าพวกเขามีหัวหน้าเป็นคนอย่างนี้

หากเจ้าของหุ้นลงขันบางส่วนที่ยังไม่แสดงตนออกมาจากจำนวน 459 คน ได้ออกมาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของหุ้นลงขันและมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เขาก็ยังมีสิทธิในตัวหุ้นตามปกติ

ครับ

คนที่ติดต่อเข้ามาปันผลจะได้ปันผลหรือเปล่า ช่องทางที่ง่ายสุดคือทางไหน

ได้ปันผลแน่นอน ถ้าใครกำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ช่วยติดต่อแสดงตนเข้ามาตอนนี้เลย ในอีเมล [email protected] หรือเบอร์โทรศัพท์คุณกุ้ง เลขาของผม 09 1790 4492 ผมต้องการให้ผู้ร่วมลงขันมาแสดงตัวมากๆ เราตามหาพวกเขาบางส่วนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราอยากจะปันผล ซึ่งท่านก็สามารถรับเงินปันผลได้แน่นอน

เวลาบริหารก็คงได้คุยกับ คุณสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย บ้าง แต่ปัญหานี้มีคนสงสัยอยู่ว่าคุณวงศ์ทนงไม่ได้คุยกับเขาเรื่องขายหุ้นกันจริงๆ หรือ? ทั้งๆ ที่น่าจะเจอกันบ่อยๆ

ผมไม่รู้มาก่อนจริงๆ แต่ผมเข้าใจว่าคุณสุรพงษ์คงเข้าใจว่าผมเป็นคนไม่สนใจเรื่องเงินหรือธุรกิจอย่างที่ผมได้แจ้งไว้ในตอนต้น ผมคิดว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรแต่เพราะรู้ว่าผมเป็นคนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว และผมก็เข้าใจว่ามันน่าจะเป็นผลดีของบริษัทที่จะทำให้เราลงทุนต่อไปได้

มีผู้ชมถามมาว่า คุณวงศ์ทนงบอกว่าอยากจะล้มดีล เพราะมีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ดีลนี้เกิดขึ้น วิธีไหนที่จะช่วยล้มดีลนี้ได้ เพราะด้วยกำลังวังชาของคนที่มี 1 หุ้น คุณจะใช้วิธีใด การตบเท้าลาออกจะมีน้ำหนักพอไหม เพราะลำพังก็มีแค่คุณคนเดียว หรือจะมีการแถลงการณ์และการแสดงออกพร้อมๆ กับน้องๆ ในทีมอย่างไร

อืม (ครุ่นคิด) อย่างที่บอกว่าผมมีหุ้นเพียงหุ้นเดียว ผมไม่มีพลังที่จะไปล้มดีลนี้ได้ ผมก็ใช้วิธีคุยกันแบบซื่อๆ “พี่ ผมรู้สึกไม่สบายใจกับดีลนี้ คนทำงานไม่สบายใจ ผมไม่สามารถตอบคำถามน้องๆ ได้ว่าทำไมผมถึงต้องเลือกดีลนี้ เพราะฉะนั้นผมขอร้องให้เห็นใจคนทำงานแบบพวกเรา ซึ่งอยากจะทำอาชีพนี้ไปนานๆ ว่าจะไม่มีดีลนี้เกิดขึ้นได้หรือไม่?”

ซึ่งวิธีนี้ผมคิดว่าเป็นวิธีซื่อๆ ตรงไปตรงมา และท่าทีของคุณสุรพงษ์ก็ดีมาก เขาเข้าใจและรับฟังเรา ตลอดช่วง 10 ปีที่เราดีลกันมา คุณสุรพงษ์ก็ดูแลพวกเราดีใช้ได้ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าพวกเราจะทำเงินกันทุกปี บางปีก็หนักหนามาก ซึ่งคุณสุรพงษ์ก็คอยช่วยประคับประคองคนทำงานไม่ให้ลำบากเกินไป แต่สำหรับเรื่องนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของหลักการและจุดยืน ซึ่งผมเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเราจะคุยกันได้

อุดมการณ์ของคนทำหนังสือชื่อ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ คืออะไร

ให้มานั่งพูดถึงตัวเองว่าเรามีอุดมการณ์อะไร ผมว่ามันก็ตลกเหมือนกันนะ แต่ผมจะไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี ผมรู้สึกขนลุกกับคำนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมและพวกมีความคิดง่ายๆ ว่าพวกเราอยากทำสื่อที่ดีมีคุณภาพ ให้ความรู้ ความคิดกับคนในสังคม มีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ได้เท่านั้นเอง

เราไม่มีอุดมการณ์สูงส่งอะไรมากไปกว่าการที่เราอยากจะทำงานที่เรารักไปนานๆ และอยู่ในอาชีพนี้อย่างสง่างาม

ท้ายที่สุดแล้วคุณโหน่งจะมีการออกจดหมายให้กับผู้ลงขัน จดหมายที่จะมี จะสื่อสารในช่องทางไหนบ้าง เพื่อย้ำให้มั่นใจเป็นการตอกย้ำว่ายังคุยกันอยู่ได้

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำทุกวันเลย คือตื่นเช้ามาโทรหาผู้ร่วมลงขัน

จาก 459 คน เนี่ยเหรอครับ?

ใช่ครับ ผมโทรไปเกือบ 30 คนแล้ว และก็โทรไปอธิบาย โทรไปเล่าให้ฟังว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ดร.วิทย์ทราบไหมครับ ทุกคนบอกว่า เข้าใจ ไม่มีอะไร แค่สงสัยนิดหนึ่งว่า ขายหุ้นอะไรถึงได้ 300 ล้าน ซึ่งที่ผมอธิบายไปทั้งหมดคือมันไม่มี เงิน 300 ล้าน ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่าผมก็ยังมีความตั้งใจจะพยายามโทรศัพท์ไปหาผู้ร่วมลงขันทุกท่าน แต่ยังมีบางท่านยังหาเบอร์โทรศัพท์ไม่ได้ ก็ถือโอกาสติดต่อมาตรงนี้เลย ผมอยากจริงๆ นะ อันนี้เป็นคำแนะนำของ พี่ด้วง-ดวงฤทธิ์ บุนนาค ว่า เฮ้ย! โหน่ง โทรไปหาทุกคนเลย แสดงความบริสุทธิ์ใจเลย ซึ่งผมว่ามันดีมาก ผมโทรไปคุยกับทุกคนเลย ทุกคนก็เข้าใจ ไม่ติดค้างอะไร ผมว่าทุกคนไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งมันเกิดข่าวนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นข่าวที่ไม่จริงและมันชวนเข้าใจผิดต่างๆ ผมจะโทรไปให้ครบทุกคน นอกจากนั้น หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมจะรอเวลาที่บริษัท ผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจเรื่องการทำดีลนี้

ให้เวลานานเท่าไรครับ

ผมไม่มีกรอบเวลา ผมรอเวลา เพราะว่าทางผู้ถือหุ้นใหญ่ก็บอกว่า มันมีเรื่องที่ต้องจัดการในเชิงกฎหมาย แต่ผมก็รอเวลาได้ครับ และหลังจากเรื่องทุกอย่างมันคลี่คลายแล้ว ผมจะทำจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรส่งถึงผู้ร่วมลงขันทุกท่าน ผมขอถือโอกาสนี้พูดเลยละกันนะครับว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ ผมกับพาร์ตเนอร์ผม คุณนิติพัฒน์ สุขสวย มีความเห็นตรงกันว่า เราจะตัดสินใจซื้อบริษัทของเรากลับคืนมาทำกันเองแบบเล็กๆ และเราจะจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ให้มันชัดเจน ที่ผมคิดไว้ก็คือ โครงสร้าง 30, 30, 30 และก็ 10 ผมกับคุณนิติพัฒน์ถือคนละ 30% ผู้ถือหุ้นนายทุนรายใหม่ถือ 30% และคนที่ร่วมลงขันทั้งหมด 459 คนถือ 10% ผมว่ามันจะชัดเจนและก็โปร่งใสมาก นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ และก็จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้

https://www.facebook.com/themomentumco/videos/1707978239493873/

Tags: ,