เมื่อปี 2016 สงครามซีเรียคือสงครามที่สร้างวิกฤตทางมนุษยชาติรุนแรงที่สุด และเป็นความขัดแย้งที่มีมหาอำนาจเข้ามาพัวพันต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วที่รัฐบาลสามารถยึดครองพื้นที่คืนจากกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโป เมืองยุทธศาสตร์สำคัญของกลุ่มกบฏได้สำเร็จ ซึ่งทำให้กำลังของกลุ่มกบฏอ่อนลงไปอย่างมาก และทุกฝ่ายเริ่มเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาสันติภาพ

แต่ล่าสุดเกิดการปะทะระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฏอีกครั้งในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย และการโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรง หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017 มีรายงานว่ากลุ่มกบฏในกรุงดามัสกัสได้พยายามเข้าไปในพื้นที่ของฝั่งรัฐบาลผ่านอุโมงค์ เมืองที่กลุ่มกบฏยังสามารถยึดครองพื้นที่ฝั่งตะวันออกได้อยู่ ก่อนหน้าที่สหประชาชาติกำลังจะจัดการประชุมสันติภาพอีกเพียงไม่กี่วัน จน UNHCR ของสหประชาชาติออกมาเตือนว่า สงครามซีเรียที่เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 7 นั้นยังสะท้อนความล้มเหลวของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขสถานการณ์และก้าวผ่านความขัดแย้ง ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพที่หลายฝ่ายพยายามจะเป็นเจ้าภาพ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

สงครามซีเรียที่เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 7 นั้นยังสะท้อนความล้มเหลวของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขสถานการณ์และก้าวผ่านความขัดแย้ง

การปะทะระหว่างกลุ่มกบฏและรัฐบาลซีเรียที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในกรุงดามัสกัส

เกิดการปะทะในกรุงดามัสกัสอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017 หลังจากกลุ่มกบฏพยายามเข้าไปในพื้นที่ฝั่งของรัฐบาลซีเรียผ่านอุโมงค์ในช่วงเวลากลางคืน หลังจากสถานการณ์ซีเรียค่อยๆ เริ่มมั่นคงขึ้นแล้วในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา การบุกเข้าไปในพื้นที่ของกลุ่มกบฏครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับรัฐบาลซีเรีย ที่เชื่อว่ารัฐบาลได้สร้างกำแพงอย่างแน่นหนากั้นระหว่างพื้นที่ของรัฐบาลกับพื้นที่ของกลุ่มกบฏ และล่าสุดหน่วยสังเกตการณ์สงครามซีเรียของอังกฤษรายงานว่า เครื่องบินรบได้โจมตีพื้นที่ของฝ่ายกบฏเพื่อตอบโต้อย่างรุนแรง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลซีเรียหรือรัสเซีย การปะทะกันล่าสุดทำให้ทหารของรัฐบาลซีเรียเสียชีวิตไปอย่างน้อย 26 ราย และกลุ่มกบฏเสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย

พื้นที่ทางตะวันออกของกรุงดามัสกัสคืออีกพื้นที่ในซีเรียที่กลุ่มกบฏยังสามารถยึดครองได้อยู่ การรุกของกลุ่มกบฏครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มกบฏยังมีกำลังอยู่เพราะเป็นการรุกเข้าใกล้เมืองหลวงได้ใกล้ที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเปลี่ยนจากการต่อสู้เชิงรับเป็นเชิงรุก

สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่า ชาวซีเรียอย่างน้อย 15 คนเสียชีวิตจากการโจมตีพื้นที่กลุ่มกบฏของรัฐบาล โดยในการปะทะมีการยิงสไนเปอร์จากทั้งสองฝ่าย โดยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลซีเรียได้เพิ่มระดับการโจมตีมากขึ้น เพื่อยึดพื้นที่จากกลุ่มกบฏในกรุงดามัสกัสคืนให้ได้ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในย่านที่อยู่อาศัยกลางกรุงดามัสกัสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (15 มีนาคม 2017) ที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 30 ราย จนประชาชนเกิดความหวาดกลัวว่าสงครามจะยังคงดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 7 โดยสหประชาชาติออกมาประณามว่า เหตุระเบิดฆ่าตัวตายครั้งนี้เป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายที่จงใจยืดการเจรจาสันติภาพ

ฟากสื่อทางการของซีเรียระบุว่า ทหารของรัฐบาลได้พยายามสกัดกั้นการโจมตีของกลุ่มกบฏ โดยอ้างว่าพวกเขาคือ ‘กลุ่มก่อการร้าย’ ที่พยายามเข้ามาในพื้นที่ของฝั่งรัฐบาลผ่านอุโมงค์

กรุงดามัสกัสยังเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลซีเรียพยายามกดดันให้กลุ่มกบฏในกรุงดามัสกัสยอมแพ้ เพราะเป็นเพียงเมืองเดียวที่กลุ่มกบฏยังสามารถยึดพื้นที่บางส่วนได้อยู่ หลังจากฝั่งรัฐบาลสามารถเอาชนะกลุ่มกบฏในพื้นที่สำคัญๆ อย่างตอนเหนือของอเลปโป และเมืองฮอมส์ (Homs) ได้แล้ว

มหากาพย์การเจรจาสันติภาพสงครามซีเรีย

ตั้งแต่ซีเรียเผชิญกับสงครามมาตั้งแต่ปี 2011 หลายฝ่ายทั้งสันนิบาตอาหรับ สหประชาชาติ และมหาอำนาจหลายประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สหภาพยุโรป และจีน พยายามจะร่วมจัดการเจรจาสันติภาพระหว่างทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันหาทางออก แต่การเจรจาส่วนใหญ่ยังไม่สามารถนำความขัดแย้งไปสู่ข้อสรุปได้

โดยเมื่อเดือนมกราคม 2017 หรือต้นปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้พบกับรัฐบาลซีเรีย ในการเจรจาหยุดยิงที่จัดโดยรัสเซีย อิหร่าน และตุรกี ในกรุงอัสตานา (Astana) ของคาซัคสถาน หลังจากกลุ่มกบฏได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายรัฐบาลซีเรียในเมืองอเลปโป และเป็นการเจรจาสันติภาพครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสหประชาชาติไม่ได้มีบทบาทหลัก โดยการเจรจาครั้งนี้มีเป้าหมายหลักคือ ต้องการให้ตัวแทนจากกลุ่มกบฏและรัฐบาลซีเรียได้เจรจาต่อหน้าเป็นครั้งแรก แต่การเจรจาครั้งนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมองว่ารัสเซียไม่สามารถกดดันให้ฝ่ายรัฐบาลซีเรียและอิหร่านหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ จนทำให้สุดท้ายทุกฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และการเข้าช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงอนาคตของสงครามซีเรียได้

ขณะที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่ารัสเซียจัดการเจรจาหยุดยิงครั้งนี้ เพื่อพยายามจะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามเป็นตัวกลางการเจรจาสันติภาพ ด้านองค์การสหประชาชาติออกมาบอกว่า จะไม่ยอมรับการเจรจาสันติภาพใดๆ ที่สหประชาชาติไม่ได้มีบทบาทหลักเพราะต้องการให้การเจรจาสันติภาพเป็นกระบวนการทางการเมืองที่เป็นกลางที่สุด

ล่าสุดสหประชาชาติได้จัดการเจรจาสันติภาพซีเรียเป็นครั้งที่ 4 โดย High Negotiations Committee ได้เป็นตัวแทนจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซีเรีย ขณะที่ทูตของซีเรียประจำสหประชาชาติเป็นตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาล แต่การเจรจาครั้งนี้ก็ยังไม่ราบรื่นเท่าไรนัก เพราะฝ่ายรัฐบาลและรัสเซียกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพยายามจะขัดขวางการเจรจาครั้งนี้ โดยระบุว่าฝ่ายรัฐบาลพยายามจะเจรจาเรื่องการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับพยายามจะเจรจาเรื่องการถ่ายโอนอำนาจ หรือการโค่นล้มอำนาจของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด

การเจรจาสันติภาพที่ไม่ว่าฝ่ายรัสเซียหรือสหประชาชาติเป็นเจ้าภาพจึงยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และจำเป็นต้องจัดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะแม้ฝั่งกลุ่มกบฏและฝ่ายรัฐบาลจะเห็นตรงกันว่าต้องการหยุดความรุนแรง แต่ในความเป็นจริงการต่อสู้ยังคงดำเนินในพื้นที่ทั่วซีเรีย และทั้งสองฝ่ายยังคงมีนัยยะทางการเมืองในการเข้าร่วมเจรจาสันติภาพ

สงครามซีเรียที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปีเต็ม
ทำให้ชาวซีเรียถึง 13.5 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 6.3 ล้านคนพลัดถิ่นที่อยู่อาศัย
และเยาวชนซีเรียที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบเกือบ 3 ล้านคนโตขึ้นมาในสงครามตั้งแต่เกิด

สงครามซีเรียเข้าสู่ปีที่ 7 และอาจยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด

เมื่อปี 2016 การสอบสวนเกี่ยวกับสงครามและความขัดแย้งในซีเรียโดยสหประชาชาติสรุปว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้ถือว่ามีความผิดทางอาชญากรรมสงคราม ทั้งกลยุทธ์การล้อมพื้นที่ของรัฐบาลในเมืองอเลปโป และมาตรการการลงโทษ

ฟิลิปโป กรานดี (Filippo Grandi) ข้าหลวงประจำองค์การผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติระบุว่า “แม้ว่าจะมีมาตรการทุกทางที่พยายามจะสร้างสันติภาพและความมั่นคงในซีเรีย แต่สถานการณ์ยังคงแย่ลง” พร้อมทั้งขอร้องนานาชาติให้ช่วยเหลือชาวซีเรียหลายล้านคนที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งครั้งนี้

สงครามซีเรียที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปีเต็ม ทำให้ชาวซีเรียถึง 13.5 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 6.3 ล้านคนพลัดถิ่นที่อยู่อาศัย และเยาวชนซีเรียที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบเกือบ 3 ล้านคนโตขึ้นมาในสงครามตั้งแต่เกิด

สหประชาชาติหวังว่าการเจรจาสันติภาพครั้งนี้จะนำไปสู่ทางออกของความขัดแย้ง แต่มองว่าการเจรจาสันติภาพอย่างเดียวไม่สามารถนำไปสู่การช่วยเหลือชาวซีเรียที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามได้ “การเจรจาสันติภาพอย่างเดียวไม่สามารถนำไปสู่เงื่อนไขที่ทำให้ผู้ลี้ภัยสามารถกลับมาอาศัยในซีเรียได้อีก แต่หากมาตรการการสร้างสันติภาพและความมั่นคงได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจากนั้นทุกฝ่ายควรจะพยายามฟื้นฟูซีเรียที่ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วคน”

อ้างอิง:

Tags: , ,