การวิจัยหรือการศึกษาด้านสภาพสังคมและประชากรยังคงวนๆ เวียนๆ อยู่กับ ‘พฤติกรรมกระทำความหว่อง’ ของคนยุคใหม่ เพราะการที่คนสมัยนี้ครองตัวเป็นโสดเพิ่มขึ้นนั้น มีผลต่อโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก

ในขณะที่งานวิจัยหลายชิ้นสะท้อนให้เห็นปัญหาด้านโครงสร้างประชากร หรือสะท้อนความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมจากการที่คนสมัยนี้แต่งงานน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องระดับมหภาค

วันนี้ The Momentum จะรวบรวมผลวิจัยที่ใกล้ตัวคนโสดขึ้นมาอีกสักนิด โดยยกตัวอย่างงานวิจัยที่ไปสำรวจพฤติกรรมและชีวิตของคนโสดในอเมริกา ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับคนโสดเพื่อคนโสดโดยเฉพาะ ว่าการครองตัวเป็นโสดนั้นมีทั้งข้อดีข้อเสียอย่างไร ตั้งแต่เรื่องพฤติกรรม การใช้ชีวิต และการทำงาน ไปจนถึงการจ่ายภาษี การจ่ายหนี้สิน หรือถ้าหากคุณเลือกที่จะเป็นโสด คุณจะพลาดอะไรในชีวิตไปบ้าง?

ขอเชิญบรรดา ‘คนโสด’ มาสำรวจชีวิตโสดๆ สวยๆ ไปพร้อมกัน

คนโสดก็อาจจะพลาดความสุขจากการได้เจอคู่ครองที่ดี
แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นการพูดถึงความสุขจากชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

คนโสดอาจพลาดความสุขบางอย่างในชีวิต

การศึกษาด้านความพึงพอใจในการแต่งงานของ National Bureau of Economic Research ที่ไปสำรวจความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานในรูปแบบต่างๆ พบว่า หากเรามีคู่สมรสที่ให้ความรู้สึกว่าเขาสามารถเป็นเพื่อนสนิทของเราได้ด้วย จะเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุขที่สุด ซึ่งพบว่าคู่แต่งงานที่มีความสุขนั้นจะนำไปสู่สุขภาพที่แข็งแรงกว่า และการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมที่ดีกว่า เพราะชีวิตแต่งงานที่มีความสุขหมายถึง การที่เรามีคนคอยให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจ เพื่อจับมือก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน ซึ่งคนโสดก็อาจจะพลาดความสุขจากการได้เจอคู่ครองที่ดี แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นการพูดถึงความสุขจากชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

เพื่อนและครอบครัวต้องดีใจที่เรายังโสด!

มาถึงตรงนี้ขอให้ผู้อ่านมองสำรวจไปในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของเรา เราจะพบว่าคนโสดในกลุ่มมักจะเป็นคนที่เราโทรหาก่อนคนแรก! หรือแม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็จะไม่รู้สึกเหงา เพราะรู้สึกว่าลูกของพวกเขาโตจนห่างไกลไปเท่าไรนัก แม้ว่าเราจะอายุเฉียด 30 (หรืออาจจะเกิน) แล้วก็ตาม เพราะตราบใดที่คนโสดยังไม่ออกเรือน เราก็จะยังมีชีวิตวนๆ เวียนๆ อยู่กับครอบครัว

ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ Bureau of Labor Statistics’ Time Use Survey ที่พบว่า หากเทียบกับคนแต่งงานแล้ว คนโสดคือคนที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวเป็นหลัก รวมถึงจะมีเวลาสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้มากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว โดยพบว่าคนโสดชาวอเมริกันใช้เวลาโดยเฉลี่ย 12 นาทีต่อวัน เพื่อติดต่อกับผู้คนไม่ว่าจะผ่านการโทรศัพท์ เขียนอีเมล หรือส่งจดหมาย ขณะที่คนแต่งงานจะใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 7.8 นาทีต่อวัน เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง

นอกจากนี้ เอริก ไคลเนนเบิร์ก (Eric Klinenberg) นักสังคมวิทยาประจำมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และผู้เขียนหนังสือ Going Solo ยังอธิบายว่า คนโสดไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่เหงาหงอยโดดเดี่ยว!

“ในทางตรงกันข้าม การศึกษาชี้ว่าคนที่ใช้ชีวิตคนเดียวจะหันไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากขึ้น และจะทำให้เมืองที่มีอัตราคนโสดเยอะนั้นมักจะเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมเฟื่องฟู”

พอมาถึงตรงนี้แล้วเพื่อนๆ จะค่อนขอดที่เรายังโสดไม่ได้แล้ว เพราะหากพวกเขาขาดเราไป พวกเขาจะเหงาแน่นอน!

การศึกษาชี้ว่าคนที่ใช้ชีวิตคนเดียวจะหันไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากขึ้น
และจะทำให้เมืองที่มีอัตราคนโสดเยอะนั้นมักจะเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมเฟื่องฟู

รักแท้ที่เราคู่ควร

ไม่ใช่แค่ครอบครัว เพื่อน หรือแฟนที่ต้องการความรักจากเราเท่านั้น เราก็ต้องให้ความรักกับตัวเองเช่นกัน และนี่คือหนึ่งในรักแท้ที่เราไม่ต้องไปหาจากใครที่ไหนไกล

หนังสือ Going Solo ของไคลเนนเบิร์กเชื่อว่า ในยุคดิจิทัลที่ผู้คนติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น จะทำให้คนติดต่อสื่อสารกันตลอดเวลา เราอาจจะเคยพบเจอคู่รักที่ตามตัวกันทุกช่องทางสื่อสาร ตั้งแต่ร่วมหุ้นถือพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กร่วมกัน ไปจนถึงสามารถรู้ได้ตลอดว่าเราอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้จากการติดตามเราผ่าน Google Map!

ดังนั้นข้อดีของการเป็นโสดคือ เราจะมีเวลาส่วนตัวเหลือพอมาแบ่งให้ตัวเองบ้างนั่นเอง ซึ่งไคลเนนเบิร์กชี้ว่า คนที่มีเวลาให้ตัวเองนั้นจะมีเวลามาสำรวจตัวเอง ทบทวนความหมายและเป้าหมายของชีวิตมากกว่าคนที่ใช้เวลากับคนอื่นตลอดเวลา

อย่างไรก็ตามหากเราเจอแฟนที่เข้าใจเรา และเคารพเวลาส่วนตัวของกันและกัน เราก็ยังสามารถมีเวลาให้ตัวเองได้ แม้ว่าเราจะแต่งงานแล้วเช่นกัน

ผลสำรวจของ Bureau of Labor Statistics ของอเมริกาพบว่า
คนโสดใช้เวลาเฉลี่ย 5.6 ชั่วโมงต่อวันไปกับกิจกรรมสันทนาการ
ขณะที่คนแต่งงานจะใช้เวลา 4.87 ชั่วโมงต่อวันเพื่อทำกิจกรรมบันเทิงต่างๆ

โสดแล้วจะทำอะไรก็ได้!

ผลสำรวจต่อไปนี้อาจไม่ได้สร้างความแปลกใจนัก เพราะเป็นปกติที่คนโสดก็มักจะมีเวลาเหลือไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากกว่าคนแต่งงานที่มีภาระครอบครัวต้องดูแล

จากผลสำรวจของ Bureau of Labor Statistics ของอเมริกาพบว่า คนโสดใช้เวลาเฉลี่ย 5.6 ชั่วโมงต่อวันไปกับกิจกรรมสันทนาการ ขณะที่คนแต่งงานจะใช้เวลา 4.87 ชั่วโมงต่อวันเพื่อทำกิจกรรมบันเทิงต่างๆ

คนโสดจะใช้เวลามากกว่าคนมีคู่ประมาณ 3 นาทีต่อวันในการออกกำลังกาย 16 นาทีมากกว่าคนแต่งงานในการดูทีวี และ 15 นาทีมากกว่าคนแต่งงานในการเล่นเกมและคอมพิวเตอร์ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เราอยากจะทำนอกเวลางาน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวไปจนถึงกิจกรรมผาดโผน ซึ่งคนโสดย่อมคล่องตัวกว่าคนที่มีครอบครัว

ค่าเสียหายจากการครองตัวเป็นโสด

ที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนการครองตัวเป็นโสดจะมีข้อดีเต็มไปหมด ทั้งคล่องตัวกว่า อิสระกว่า และมีเวลาเหลือให้ตัวเองมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อได้เปรียบข้างต้นก็มาพร้อมกับค่าเสียหาย

สื่ออเมริกาอย่าง The Atlantic เปิดเผยรายงานที่ชี้ให้เห็นว่า คนโสดในอเมริกาจะเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ มากกว่าคนแต่งงานแล้วถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในตลอดช่วงชีวิต โดยคำนวณจากการจ่ายภาษี โบนัสที่ได้รับ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและที่อยู่อาศัย

หน่วยงานด้านภาษีและทรัพย์สินของสหรัฐฯ ระบุว่า คนโสดจะไม่ได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เช่น การทำเรื่องขอเบิกเงินภาษีคืนในบางกรณี โดย Bureau of Labor Statistics ของอเมริกาชี้ว่า ผู้หญิงโสดจะเสียเงิน 7.9% ของรายได้ทั้งปีไปกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ขณะที่คนแต่งงานแล้วจะเสียเงินกับค่าสุขภาพ 6.9% ของรายได้ทั้งปี

เช่นเดียวกับการใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยที่พบว่า คนโสดจะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าคนแต่งงานแล้ว เพราะพวกเขาอาจไม่มีคนมาช่วยแบ่งค่าผ่อนบ้านนั่นเอง Bureau of Labor Statistics พบว่า คู่แต่งงานชาวอเมริกาจะเสียเงิน 23.9% ของรายได้ทั้งปีไปกับค่าที่อยู่อาศัย ขณะที่ชายโสดจะเสียค่าใช้จ่าย 30.3% และหญิงโสดจะเสียค่าใช้จ่ายมากถึง 39.8%

มาถึงตรงนี้แล้วเราคงจะเข้าใจคำว่า ‘หุ้นส่วนชีวิต’ ได้ดียิ่งขึ้น

แต่คนโสดก็จะตัวเบาจากภาระและหนี้สินมากกว่าคนแต่งงาน

รายงานของ LearnVest เปิดเผยว่า การแต่งงานอาจทำให้เราต้องเข้าไปรับผิดชอบกับความผิดพลาดทางการเงินของคู่สมรส เพราะคุณจะถือว่ามีความรับผิดชอบเท่ากับคู่สมรสในการทำกิจกรรมทางการเงินต่างๆ อย่างเช่นในบางกรณีที่คู่สมรสของคุณไปสร้างหนี้สินไว้ และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะโดนฟ้อง

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าหญิงโสดนั้นบ้าพลังและบ้างาน
มากกว่าสาวๆ ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว

บริษัทจะต้องดีใจที่มีสาวโสดอยู่ในองค์กร

ผลสำรวจพบว่า ชายโสดอายุระหว่าง 28-30 ปี ทำงานนอกบ้านน้อยกว่าชายที่แต่งงานแล้วถึง 441 ชั่วโมง ขณะที่ชายโสดอายุระหว่าง 44-46 ปี ทำงานนอกบ้านน้อยกว่าชายที่มีครอบครัว 403 ชั่วโมง

แต่เมื่อเป็นหญิงโสดกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าหญิงโสดนั้นบ้าพลังและบ้างานมากกว่าสาวๆ ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว เพราะหญิงโสดวัยสาวจะทำงานมากกว่าสาวๆ ที่มีครอบครัวแล้วถึง 196 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตามผลสำรวจพบว่าแม้ผู้หญิงจะแต่งงานไปแล้ว แต่ถ้าพวกเธอยังไม่มีลูก พวกเธอก็จะบ้างานเหมือนเดิม ขณะที่หญิงโสดวัยกลางคนจะทำงานมากกว่าคนวัยเดียวกันที่แต่งงานแล้ว 131 ชั่วโมง

ดังนั้นหากบริษัทหรือองค์กรใดที่มีหญิงโสดอยู่จำนวนมาก คุณจะรู้สึกโชคดีมากๆ เหมือนได้ขับรถยนต์พลังซูเปอร์คาร์อย่างแน่นอน

คนมีคู่ครองจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเพราะมีคู่ชีวิต?

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยดุ๊กชี้ให้เห็นว่า คนแต่งงานมักจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนโสด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงในวัยกลางคนน้อยกว่าคนโสด เพราะคนแต่งงานมักจะมีสุขภาพดีกว่า และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่า เจฟฟรีย์ เบอร์เกอร์ (Jeffrey Berger) ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือดประจำ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า “มันอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่แต่งงานจะมีคู่ชีวิตที่คอยช่วยดูแลซึ่งกันและกัน”

อย่างไรก็ตามผลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอายุของคนโสดนั้นเป็นเพียงแค่การสำรวจของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพราะคนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกปัจจุบันนั้นเธอเป็นโสด!

ผลสำรวจและผลวิจัยข้างต้นได้เปรียบเทียบพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิตของคนโสดกับคนที่มีคู่ครองในภาพกว้างเท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะคนโสดหรือคนที่แต่งงานแล้วย่อมมีความสุขและความทุกข์ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และสิ่งที่สำคัญที่สุด ‘สถานภาพ’ ไม่ใช่สิ่งที่การันตีว่าใครจะมีความสุขมากกว่าใคร เพราะคนที่มีคู่ครองที่ดีก็อาจมีความสุขที่ได้มีคนเคียงข้างมากกว่าคนโสด ในขณะที่คนโสดก็อาจจะมีความสุขมากกว่าคนมีคู่ครองที่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน

ภาพประกอบ: Karin Fox
อ้างอิง:

Tags: , ,