‘น้องมายด์’​ ชื่อที่หลายคนพูดติดปาก และกลายเป็นชื่อที่ทุกคนนึกถึงในห้วงนี้ ด้วยความโดดเด่นจากการนำขบวนม็อบราษฎรหลังจากแกนนำคนอื่นโดนควบคุมตัว

ภาพที่เธอยืนอ่านจดหมายเปิดผนึกที่ยื่นให้ทูตเยอรมนีบนเวทีท่ามกลางผู้ชุมนุมด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย เมื่อคืน 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยข้อเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้านสถานะของพระมหากษัตริย์บนแผ่นดินเยอรมนี ถ้อยคำชัดเจน ทรงพลัง สะกดใจผู้ชุมนุม ทำให้เกิดคำถามว่า ความกล้าหาญของเธอมาจากไหน

“ตอนนี้ยังไม่มีความกดดันใดๆ ค่ะ ไม่มีความกังวลหรือความกลัวที่จะถูกตำรวจจับกุมแล้ว เรามาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับ เพราะจุดประสงค์เดียวคือต้องการให้ประชาชนไทยได้มีประชาธิปไตยที่มั่นคงและแท้จริง เพื่อส่งต่อถึงคนไทยในอนาคต” มายด์เปิดใจ

มายด์แทนตัวเองว่า ‘หนู’ ตลอดการสนทนา และเมื่อถามเธอเรื่องการตอบรับเป็นแขกรับเชิญในรายการโทรทัศน์ซึ่งต้องประจันหน้ากับนักการเมืองหญิงฝีปากกล้าฝั่งรัฐบาลอย่าง ‘ปารีณา ไกรคุปต์’

มายด์หัวเราะ ก่อนบอกว่า “มีคนถามเยอะเหมือนกันว่าไปทำไม น่าจะเสียเวลา แต่หนูคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี มีพื้นที่คุยกับคนเห็นต่างบ้าง รับฟังกัน และแลกเปลี่ยนกลับไป ส่วนที่เหลือหนูปล่อยให้สังคมตัดสินเอง”

มายด์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร พื้นเพเป็นชาวจังหวัดสระบุรี เริ่มสนใจการเมือง หลังจากการรัฐประหารของพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 และเกิดเหตุการณ์การจับกุมนักศึกษาและนักกิจกรรมการเมืองที่ทำกิจกรรม ‘ยืนมองเวลา’ หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ในวันครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2558

ครั้งนั้นเธอเห็นคลิปที่รุ่นพี่ยืนคล้องแขนกันแล้วถูกเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวจึงรู้สึกหดหู่ว่า เป็นนักศึกษาทำไมถึงต้องโดนขนาดนี้ จึงตั้งคำถามกับตัวเองอย่างหนัก จุดประกายให้เริ่มทำความเข้าใจกับการเมือง และเมื่อเริ่มศึกษาจึงตระหนักว่าการเมืองอยู่ในทุกช่วงชีวิตของเธอ

มายด์เล่าว่า รัฐประหารทำให้ครอบครัวของเธอได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง คุณพ่อซึ่งทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างไม่มีงานเลยช่วงหลังรัฐประหาร ร่างกายและจิตใจเริ่มทรุดโทรม พอมีงานก็ประสบความยากลำบากในการลงไปดูไซต์งาน ส่วนคุณแม่ค้าขายเครื่องสำอางประเภทครีมและอาหารเสริม ลูกค้าประจำและขาจรซื้อลดน้อยลงจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องดิ้นรนปรับเปลี่ยนตัวเอง ไปค้าขายเครื่องประดับแทน เพราะเก็บไว้ได้นาน ไม่เน่าไม่เปื่อย

ตอนนั้น มายด์จึงรับรู้แล้วว่ารัฐประหารส่งผลกับประชาชนจริง ความฝืดเคืองเกิดจากการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐประหารอย่างเปิดเผยมักถูกคุกคาม มายด์จึงก่อตั้งกลุ่ม ‘มหานครประชาธิปไตย’​ กับเพื่อนๆ ร่วมสถาบัน เปิดเพจสร้างพื้นที่กลางเพื่อการพูดคุยที่ปลอดภัย และเริ่มออกมามีบทบาทร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งกิจกรรมชุมนุม และเข้าร่วมชุมนุมแฟลชม็อบที่จัดขึ้นทุกครั้ง

ก่อนที่ในปี 2563 เธอออกมาร่วมกับ ‘คณะประชาชนปลดแอก’ จัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 18 กรกฎาคม และ 16 สิงหาคม 2563 ก่อนใช้ชื่อ ‘คณะราษฎร’ ในเวลาต่อมา

“ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ ก่อนหน้านี้หนูทำหน้าที่ซัพพอร์ตการชุมนุมหลายครั้ง เป็นหน่วยพยาบาลบ้าง และช่วยงานหลังเวทีเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่กลายเป็นคนปราศรัยครั้งแรกจริงๆ คืองานแฮรี่ พอตเตอร์ ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย’ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม กลุ่มมหานครฯ ของหนูจัดร่วมกับเพื่อนๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์”

การขึ้นเวทีครั้งแรกของเธอจับใจคนฟังอยู่หมัด มายด์บอกว่า เพราะเธอให้ความสำคัญกับสารที่สื่อออกไปว่า ต้องตรงประเด็น สื่อไปถึงมวลชน หรือประชาชน ถ้าพูดแล้วคนฟังได้ เธอก็จะพูดต่อไป

“กระแสตอบรับที่ดีก็ทำให้หนูสับสนตัวเองเหมือนกัน เพราะจริงๆ หนูเป็นคนธรรมดามากๆ เลย อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาพูด หนูเป็นตัวอย่างให้คนธรรมดากล้าที่จะออกมาพูดในจุดที่หนูยืนได้เหมือนกัน เพราะการเรียกร้องประชาธิปไตย ทุกคนควรเท่าเทียมกันแม้แต่การพูด คือหนูอยากให้คนฟังเราให้มากที่สุด หนูอยากให้มันเกิดความกระจ่างขึ้นในประเด็นนั้นๆ อยากให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน ก็เลยเป็นคนพูดตรงไปตรงมา”

มายด์บอกว่าชีวิตส่วนตัวตอนนี้ต้องจัดสมดุลอย่างหนักระหว่างการเรียนกับกิจกรรมทางการเมือง โชคดีที่การเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้มีเรียนทุกวัน หรือเรียนเพียงแค่ครึ่งวัน จึงพอมีเวลาว่างในการทำกิจกรรม ส่วนการร่วมชุมนุมทางการเมือง เธอพยายามที่จะไม่ให้กระทบเวลาเรียน

แต่ภาพรวมชีวิตในห้วงสองเดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงกดดันมหาศาลถั่งโถมเข้าหาเธอแน่นอน แต่ในฐานะนักสู้หน้าใหม่ในเวทีกิจกรรมทางการเมือง มายด์บอกว่าเธอรับมือได้ นับแต่วันนำขบวนผู้ชุมนุมไปส่งจดหมายลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เธอออกมายืนแถวหน้าเพราะแกนนำหลายคนถูกจับกุมตัวไป และหลังเลิกชุมนุมเธอยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เข้าแสดงหมายจับข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจัดชุมนุมวันที่ 15 ตุลาคม ก่อนศาลจะให้ประกันตัวออกมา

แต่นั่นไม่ได้เป็นคดีแรก เพราะก่อนหน้านี้มายด์เคยถูกพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และ พ.ร.บ.การใช้เครื่องขยายเสียงจากการจัดกิจกรรมชุมนุม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย’ มาแล้ว ร่วมกับผู้ต้องหาอื่นอีก 6 คน

หลังเผชิญกับคดีความที่ติดตามตัว มายด์บอกว่าครอบครัวกังวลและเป็นห่วงมาก แต่ถึงตอนนี้เธอคุยกับครอบครัวจนรับได้และเข้าใจถึงบทบาทและความฝันของเธอ มายด์บอกว่าถึงตอนนี้แล้วพ่อกับแม่ของเธอก็สามารถออกมาพูดแบบที่เธอพูดได้ เพราะสิ่งที่เธอเรียกร้อง เป็นสิ่งที่ประชาชนควรได้รับ นั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

“ทุกครั้งที่มีข่าวถูกดำเนินคดี ถูกจับกุม พ่อแม่ก็เป็นห่วงตามประสาพ่อแม่ หลังจากนี้ต้องเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ เพราะหนทางอีกยาวไกล สิ่งที่หนูพูดมันต้องมีผลสะท้อนกลับจากรัฐ จึงต้องมีพลังใจที่ดีของตัวเอง และให้กำลังใจครอบครัวเช่นกัน”

มายด์บอกว่า ทุกวันนี้ไม่หวั่นกระแสตอบโต้จากคนที่เห็นต่าง เธอบอกว่าหากพบก็อยากพูดคุยด้วย พร้อมเปิดรับเสมอ เพราะเธอเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมพูดคุยกับคนที่เห็นต่าง ด้วยเชื่อว่าหากมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และหาจุดร่วมกันได้ ก็จะช่วยลดทอนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน

Tags: