แม้จะเกิดสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และตลาดหุ้นที่ผันผวน แต่รายงานความมั่งคั่งรอบโลกของ Credit Suisse ระบุว่า จำนวนรวมมหาเศรษฐีทั้งโลกเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านคน นับตั้งแต่กลางปี 2018 จนถึงกลางปี 2019 ขณะนี้มีจำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลกทั้งหมด 46.8 ล้านคน และคนเหล่านี้เองที่ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 158.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 44% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดในโลก
สหรัฐอเมริกายังคงครองแชมป์มหาเศรษฐีใหม่มากที่สุด โดยมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้น 675,000 คน ในปีที่ผ่านมา ทำให้มีจำนวนรวมถึง 18.6 ล้านคน ญี่ปุ่นมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น 187,000 คน และมีจำนวนรวมกว่า 3 ล้านคน และแม้แต่จีนซึ่งกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากสงครามเศรษฐกิจ ก็ยังมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นถึง 158,000 คน ทำให้มีจำนวนรวม 4.5 ล้านคน ขณะที่ออสเตรเลีย มียอดมหาเศรษฐีลดลงมากที่สุด โดยจำนวนเศรษฐีลดลง 124,000 คน ทำให้มียอดรวม 1.2 ล้านคน
ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐีสหรัฐฯ ยังคงนำหน้าจีน แต่รายงานกล่าวว่า ขณะนี้มหาเศรษฐีจีนได้แซงหน้าเศรษฐีสหรัฐฯ ในฐานะผู้ครอบครองสินทรัพย์ทั่วโลกมากกว่า จากการจัดอันดับเศรษฐีจีนที่ครอบครองสินทรัพย์ 10% ของสินทรัพย์ทั้งโลก
ด้วยความมั่งคั่งมหาศาลของประชากรยอดพีระมิดนี้เองได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในการโหวตตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทั้งเอลิซาเบ็ธ วอร์เรน และเบอร์นี แซนเดอร์ส ได้เสนอให้เก็บภาษีความมั่งคั่งในแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยข้อเสนอของทั้งคู่คือกำหนดภาษีสินทรัพย์สะสมและเงินออมมากกว่ารายได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความเหลื่อมล้ำ เพราะตัวเลขนี้เปลี่ยนแปลงจากปี 2000 ที่ประชากร 1% ครอบครองความมั่งคั่ง 47% ของทั้งโลก เปรียบเทียบกับปี 2019 ที่ 45% เนื่องจากชนชั้นกลางมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น จำนวนประชากรที่มีทรัพย์สินมูลค่า 10,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.7 พันล้านคน เติบโตมากที่สุด 3 เท่า นับตั้งแต่ปี 2000
ที่มา
https://www.foxbusiness.com/economy/more-chinese-than-americans-in-top-10-of-global-wealth-study
ภาพ : gettyimages
Tags: ภาษีทรัพย์สิน, มหาเศรษฐีโลก, มหาเศรษฐีจีน
