ตอนที่มิกีส์ เวเบอร์ (Mikis Weber) เดินทางจากเมืองเบรเมนทางตอนเหนือของเยอรมนี มาพื้นที่ชายแดนพม่า เขามีเป้สะพายหลังเพียงใบเดียว ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุ 18 เพื่อนๆ ของเขาเลือกที่จะไปออสเตรเลียและสเปน งานอาสาสมัครภายหลังเรียนจบชั้นไฮสคูลเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหนุ่มสาวชาวเยอรมัน

แต่การก้าวต่อของมิกีส์ดูจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ทุกวันนี้หนุ่มวัย 27 ปีกลายมาเป็นศิลปินและครูสอนภาษาเยอรมันในย่างกุ้งของเมียนมาร์ มีคนติดตามเพจของเขานับแสน และมียอดผู้ชมวิดีโอของเขาจำนวนนับล้าน เขากลายมาเป็นศิลปินแรป นายแบบ และนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมียนมาร์ มีโอกาสได้เล่นซีรีส์หลายเรื่อง และเป็นที่รู้จักของใครๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง

เส้นทางการก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ของเมียนมาร์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกอย่างเริ่มต้นที่พ่อฮิปปีของเขา ซึ่งทำงานให้กับมูลนิธิ Helpers withot Borders รวบรวมทุนจากเงินบริจาคไปช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับผู้คนพลัดถิ่นจากรัฐฉาน ตอนที่มิกีส์อายุเก้าขวบ เขามีโอกาสติดตามพ่อไปด้วย เขาหลงรักเมืองไทยพอๆ กับพ่อของเขา จนเมื่อเติบใหญ่ เรียนจบชั้นไฮสคูล เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปเป็นอาสาสมัครในพื้นที่ตะเข็บชายแดน

ตอนนั้นเขายังคิดอยู่ว่า จะไปเรียนรู้ชีวิตที่นั่น แล้วค่อยเดินทางกลับบ้านที่เยอรมนี จุดหมายปลายทางของเขาคือ แม่สอด เมืองติดเขตชายแดนเมียนมาร์ของไทย ที่เขาบรรยายว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชาวพม่า โดยเฉพาะที่เข้าเมืองมาแบบผิดกฎหมาย

ในยุคนั้นแม่สอดมีธุรกิจที่เฟื่องฟูคือ การค้าอัญมณี อาวุธ ยาเสพติด และมนุษย์ ซ่องโสเภณีเกลื่อนกลาดถูกพรางด้วยกิจการร้านเสริมสวยและบาร์ แม่สอดเป็นเมืองแม่เหล็กสำหรับปัญหาทุกอย่าง คล้ายในหนังคาวบอย แต่ที่นั่นคือแดนเถื่อนในตะวันออก

ภารกิจของมิกีส์ในตอนนั้นคือ การสอนภาษาอังกฤษให้กับหญิงโสเภณีและเด็กที่เคยร่วมรบในสงครามในพม่า ดูเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับมิกีส์-เด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่ต้องพลัดถิ่นมาไกลตามลำพังเป็นครั้งแรก

แต่ถึงอย่างนั้นมิกีส์ก็ไม่รู้สึกคิดถึงบ้าน เขาเรียนรู้งานอาสาสมัคร ควบคู่ไปกับการเรียนภาษาพม่า จากนั้นก็เช่าห้องพักอยู่ในย่านอาศัยธรรมดา และผูกมิตรกับผู้คนในละแวก ที่ล้วนแต่สูงวัยกว่า แต่ไม่มีใครเรียนจบชั้นมัธยมฯ ปลายแม้สักคน

บางคนติดยา แต่ไม่ทุกคน ส่วนใหญ่ที่เสพมักเป็นอดีตนักรบฝ่ายกบฏ ในความคิดของเขา คนเหล่านั้นไม่ได้เลวไปเสียหมด เพียงแต่มีบุคลิกและนิสัยที่แตกต่างจากคนทั่วไป ตรงความก้าวร้าวและเลือดเย็น

มิกีส์เคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์วิวาทระหว่างคนในพื้นที่ถึงสองครั้ง เคยใจหายใจคว่ำ และรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในเมืองเบรเมนบ้านเกิด เขาเองมาจากครอบครัวที่อบอุ่น เคยเดินทางไปท่องเที่ยวฝรั่งเศสและนิวซีแลนด์กับพ่อแม่บ่อยครั้ง แต่ชีวิตของเขาดูคล้ายจะมีแม่เหล็กดึงดูดไปพบเจอกับสิ่งแปลกปลอมอยู่เสมอๆ   

ครั้นเมื่อทำงานอาสาสมัครครบปี มิกีส์ต้องเดินทางกลับบ้านอีกครั้ง ต้องทิ้งแฟนสาวที่เพิ่งรู้จักและตกหลุมรัก จากแม่สอดเขานั่งเครื่องกลับไปเบรเมน กลับไปพบเจอเพื่อนเก่าๆ ที่ล้วนมองว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ขรึมและกระด้างมากกว่าเดิม แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าตนเป็นคนแปลกหน้าในเบรเมนบ้านเกิด กระทั่งทำให้เขารู้สึกว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งของที่ที่เขาเพิ่งจากมามากกว่า

เขาจะต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้งให้ได้

มิกีส์มองหางานใหม่ และไปเจอบริษัทนำเที่ยวที่เชี่ยวชาญด้านทัวร์ไปเมียนมาร์ บริษัทแห่งนี้ตั้งอยู่ในฮัมบวร์ก ซึ่งห่างด้วยระยะทางราว 130 กิโลเมตร อย่างน้อยก็ห่างจากบ้านที่เบรเมน เขาได้ตำแหน่งเป็นเซลส์ขายทัวร์ ควบคู่กับการเรียนต่ออีกสองปี เจ้านายของเขายังคงมอบหมายหน้าที่ให้เขียนโปรแกรมทัวร์ ไม่ยอมปล่อยให้เขานำทัวร์ไปเมียนมาร์ เพราะรู้ดีว่าเขาจะไม่กลับมาอีก

หกปีหลังจากนั้น มิกีส์ขึ้นเครื่องบินอีกครั้ง เขาอายุมากขึ้น มีประสบการณ์การทำงาน และยังพูดภาษาพม่าได้คล่องแคล่ว ตอนนั้นเขาชั่งใจอยู่ว่าจะไปหางานทำในย่างกุ้ง อาจจะเป็นไกด์ หรือไม่ก็ล่าม

เมื่อเครื่องบินจอดลงที่เมืองไทย มิกีส์นั่งรถบัสต่อไปยังแม่สอด เพื่อตามหาหญิงคนรัก แต่ก็ไม่พบ เวลาผ่านมากว่าหกปี เขาเองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย

เขาเดินทางต่อเข้าเมียนมาร์ รู้สึกตัวเอง ปลดปล่อยจากอดีต กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ที่หลงเหลือความหลังแค่เพียงรอยสักบนผิวเนื้อ มิกีส์เป็นหนุ่มเยอรมันธรรมดา นัยน์ตาสีฟ้า ความสูง 190 เซนติเมตร มีการศึกษา พูดได้ทั้งภาษาแม่ อังกฤษ และพม่า เขาจึงยื่นใบสมัครงานที่สถาบันเกอเธในย่างกุ้ง

แต่ผลลัพธ์ดูเหมือนจะกลายเป็นอย่างอื่น ตลอดหกปีที่กลับไปใช้ชีวิตในเยอรมนีและรู้สึกโหยหาคิดถึงเมียนมาร์นั้น มิกีส์เริ่มเขียนและร้องเพลงภาษาพม่า เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนชาวพม่าในเบรเมน จนเป็นที่รับรู้กันไปทั่ว และรับรู้ถึงสถานทูตเมียนมาร์ในแฟรงก์เฟิร์ต กระทั่งมีข่าวออกมาว่า มิกีส์จะได้รับเชิญไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตกับวงป็อปของพม่าในช่วงเทศกาล ‘ติงจัง’ (ประเพณีสงกรานต์ของพม่าจัดขึ้นในช่วง 4 วันก่อนวันขึ้นปีใหม่) ปีถัดไป

คลิปวิดีโอการแสดงของมิกีส์บนเวทีถูกแชร์ต่อกันในโลกโซเซียลของพม่า มียอดวิวสูงกว่าห้าล้าน ติดอันดับต้นของประเทศ จากนั้นจู่ๆ มิกีส์ ดา ซิลวา (Mikis da Silva) ชื่อที่เขาตั้งให้ตนเอง ก็กลายเป็นที่ถามถึง ทั้งงานร้องเพลง งานโชว์ตัว รวมถึงงานแสดงแบบโฆษณา ใบหน้าของหนุ่มเยอรมันพูดภาษาพม่าชัดถ้อยปรากฏไปทั่ว ไม่ว่าสปอตโฆษณาเครื่องสำอาง ร้านอาหาร หรือเครื่องดื่มน้ำอัดลม

แต่มิกีส์ก็รู้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่จมอยู่กับสงครามกลางเมืองมายาวนาน และแม้จะผ่านพ้นยุคเรืองอำนาจของเผด็จการทหารมาแล้วก็ตาม ทว่าสภาพสังคมยังไม่ปรับเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ

ครั้งหนึ่งเขาเคยนั่งสวมกอดผู้หญิงที่มีรอยสักเต็มแขนในบาร์ และถ่ายภาพเซลฟี วันถัดมาภาพและข่าวของเขาไปปรากฏอยู่ในสื่อซุบซิบ “มิกีส์มีแฟนใหม่ และที่ไม่ค่อยจะดีเสียด้วย”

อีกครั้งหนึ่ง เขาถ่ายเซลฟีคู่กับเพื่อนๆ ผู้ชาย และเขียนกำกับใต้ภาพด้วยว่า “ไม่ต้องห่วงนะ พวกเขาเป็นเพื่อนของผมจริงๆ” แต่วันถัดมาภาพดังกล่าวก็กลายเป็นข่าวพาดหัวสื่ออีกว่า “มิกีส์ไม่มีแฟนสาว หรือว่าเขาจะเป็นเกย์”

ทุกวันนี้ มิกีส์ ดา ซิลวามีแฟนแล้ว เป็นสาวพม่าชื่อ ซูซู (Su Su Wai) และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเซเลบฯ ในย่างกุ้ง ที่ต้องมีพนักงานรักษาความปลอดภัย อีกทั้งบริเวณอพาร์ตเมนต์ที่พักเขาก็ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้า-ออกได้ตามอำเภอใจเหมือนแต่ก่อน เหตุเพราะเคยถูกแฟนคลับสาวคนหนึ่งตามรังควาญ

อีกเรื่องหนึ่งที่แย่ เขาเคยบอกสื่อเยอรมัน คือการปล่อยให้คนเมาจับมือ เพราะพวกเขาจะจับแล้วไม่ยอมปล่อย หรือคนไม่มีมารยาทที่ชอบถ่ายรูปตอนเขารับประทานอาหาร ส่วนการถ่ายคลิปด้วยโทรศัพท์มือถือผ่านกระจกหน้าต่างรถนั้น เขาไม่ติดใจอะไร

อ้างอิง:

https://www.weser-kurier.de/bremen/bremen-stadt_artikel,-Die-Arbeit-als-Entwicklungshelfer-_arid,185464.html

https://www.between-borders.de/als-weltwaerts-freiwilliger-auch-was-gelernt/

https://ruslar.pro/mobile/video/K5ZHs2nmKsk

Tags: