เราบึ่งรถรุ่น GLC คันเทียบเท่าวัวป่า ออกจากถนนภายในกรุงเทพฯ ทะยานเข้าสู่เส้นพุทธมณฑล ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยรถบรรทุกที่ลำเลียงสินค้าออกจากเมืองหลวง เพื่อแจกจ่ายให้กับหัวเมืองต่างๆ การจราจรที่หนาแน่นบังคับให้เราโยกขยับสลับเปลี่ยนเลน และต้องแตะเบรคหยุดเจ้าวัวป่าอยู่บ่อยครั้ง แต่ราวกับว่ามันถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าเราจะแตะเบรคกะทันหันจนตัวโยน หรือกระหน่ำแรงลงบนแป้นคันเร่งใต้เท้าเพื่อเพิ่มความเร็ว ทุกๆ อิริยาบถของมันเป็นไปอย่างราบเรียบ มีระดับ
‘มีระดับ’ เราว่าคำนี้สอดรับกับ Mercedes-Benz GLC 250d
ภายหลังที่หน้าจอไฮเทคขึ้นรูปกาแฟ พร้อมแนบข้อความเตือนว่า ‘Time to take a Break’ เราจึงตัดสินใจจอดรถยืดเส้นสายที่ปั๊มแห่งหนึ่งก่อนเข้าตัวเมืองราชบุรี ต่างคนต่างลงจากรถเพื่อแยกย้ายทำธุระส่วนตัว และเติมคาเฟอีนเสียเล็กน้อย ณ ร้านกาแฟประจำสถานีเติมน้ำมัน
เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวกันแล้ว เรากระโจนขึ้นคล่อมเจ้าวัวป่าอีกครั้ง เมื่อเราเลื่อนเกียร์ไปที่ตัว R เพื่อทำการถอยหลัง เราแปลกใจ เมื่อมองที่หน้าจอบริเวณแผงเครื่อง เจ้าวัวป่ามีเทคโนโลยีมองจากมุม Bird View ทำให้เวลาถอยหลัง เราสามารถมองภาพรอบรถได้ครบทุกด้าน
เรามุดตัวผ่านอุโมงค์ของดอกราชพฤกษ์ และดอกตะแบกดำ ที่ยืนท้าแดดจ้าในเวลาเที่ยงตรงอยู่สองข้างทาง เกลียวลมพัดผ่านกิ่งก้านให้โยกคลอนคล้ายโบกมือต้อนรับเราเข้าสู่ ‘จังหวัดราชบุรี’ เราลดความเร็วลงเพื่อชายตามองสีสันของธรรมชาติที่เราไม่ค่อยพบเจอยามอยู่ในเมืองหลวง ปล่อยใจลอยไปกับบทสนทนาและเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบของช่างกล้องสายท่องเที่ยว ซึ่งวันนี้หวยออกให้เราได้เดินทางคู่กัน
รวมเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่ ‘ตลาดโอ๊ะป่อย’ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ทีมงานของเบนซ์โบกให้เรานำรถเข้าไปจอดบริเวณลานวัด ตรงข้ามกับจุดหมายปลายทางของเราพอดี
เราก้าวลงจากรถ ยืดแขนขา บิดลำตัวเรียกความกระชุ่มกระชวยเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร จาก กรุงเทพ-สวนผึ้ง แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเท่าไร อีกทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำเมื่อมองเห็นลำธารที่ลาดไหลบริเวณริมตลิ่งเบื้องหน้า
ตลาดโอ๊ะป่อย เป็นลานดินกว้างขวางติดกับลำธารน้ำสายเล็กๆ ซึ่งในช่วงฤดูน้ำแล้ง ผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถลงไปทอดกายกับสายน้ำเพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ อากาศบริเวณนั้นไม่ร้อนมาก เนื่องจากมีไม้ใหญ่ตระหง่านทอดร่มเงาให้รู้สึกร่มรื่นอยู่ตลอดทั่วลานดิน
‘โอ๊ะป่อย’ มีที่มาจากภาษากะเหรี่ยง แปลว่า ผ่อนคลาย รีแลกซ์ ตามปกติแล้ว ตลาดโอ๊ะป่อยจะมีพ่อค้าแม่ค้าหมุนเวียนกันมาขายของในช่วงวันหยุด เสา-อาทิตย์ และถ้ามาในช่วงเช้าจะมีพระภิกษุพายเรือมาตามริมธารให้นักท่องเที่ยวได้ตักบาตรทำบุญ ร่มเย็นทั้งจิตใจ และร่างกายอีกด้วย ซึ่งช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยของทุกวันจะเป็นช่วงเวลาของเด็กในชุมชนละแวกนั้น ที่มักจะเดินทางมาที่ลำธารแห่งนี้ เปลื้องผ้าและผลัดกันโดดน้ำ
ทีมงานเบนซ์พาเราเดินผ่านร้านรวงที่วันนี้ดูเงียบเหงา มาถึงลานดินลานโล่งซึ่งได้จัดเตรียมเต็นท์ และเครื่องมือทำอาหารรอเราอยู่แล้ว คุณเปิ้ล–ณัฐบูร ไตรณัฐี ได้แนะนำให้เรารู้จักกิจกรรมการตั้งเต็นท์แบบใหม่ที่ผสมผสานความหรูหรา และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้ชื่อเรียกว่า ‘แกลมปิ้ง(Glamping)’ เป็นการผสมระหว่างคำว่า ‘Camping’ เข้ากับคำว่า ‘Glamorous’ (หรูหรา โอ่อ่า)
เปิ้ลเล่าให้เราฟังว่า เขาท่องเที่ยวไปมาหลายประเทศ ถ่ายรูปและเก็บเช็คอินมาค่อนโลก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้เติมเต็มตัวเขาเสียเท่าไร จนเขาพบกับกิจกรรมแกลมปิ้ง มันทำให้เขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติโดยที่ยังรักษาไลฟ์ไสตล์ของตัวเองได้อยู่
กลิ่มหอมของบาร์บีคิวโฉยมาแตะจมูก พอดีกับเข็มนาฬิกาในร่างกายปลุกเตือนให้หาอะไรเข้าท้อง เราเดินไปหยิบถาดหลุม ก่อนตักชิ้นเนื้อวัวย่างแบบมีเดียมแร หมูสันในแซมมัน ไก่บาร์บีคิวเสียบไม้ พร้อมทั้งเครื่องเคียงเล็กน้อย อาทิ ข้าวโพดคลุกมายองเนส และข้าวผัดกระเทียม และไม่ลืมที่จะตักน้ำจิ้มแจ่วไปเล็กน้อย เพื่อช่วยขับรสชาติของเนื้อนานาชนิดให้มีรสจัดจ้านยิ่งขึ้น
เราค่อยๆ ลำเลียงตัวเองและถาดหลุม ผ่านขั้นบันไดสองสามขั้น ซึ่งกั้นระหว่างสายน้ำเบื้องล่าง และเนินดินที่ใช้สำหรับตั้งเต็นท์ เราหย่อนปลายเท้าให้สัมผัสกับสายน้ำเบื้องล่าง และเริ่มจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า
รสชาติของอาหารรสเลิศ คลุกเคล้าความรู้สึกที่ปลายเท้าสัมผัสกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยเบื้องล่าง เป็นความรู้สึกที่ชวนให้อยากเก็บบรรยากาศใส่กล่องกลับบ้านเลยทีเดียว
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ทีมงานเบนซ์พาเราไปฝึกยิงธนูกับ ครูฟิล์ม–ขวัญชัย โพธิ์หิรัญ ผู้ฝึกสอนยิงธนูมืออาชีพ แต่ก็ไม่ผิดจากที่เราคาดไว้เสียเท่าไร เมื่อลูกธนูที่ปล่อยจากคันสายพุ่งหลุดเป้าไปเสียหมด เราย่องเขินๆ ไปเก็บลูกธนูที่นอนหลับอยู่ในพงไม้ และบอกตัวเองว่า หนังท้องตึงและหนังตาหย่อน ยิงพลาดเป้าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก
มีความโชคดี 2 ข้อที่เกิดขึ้นกับเราในการเดินทางครั้งนี้ ข้อหนึ่ง ขากลับเราได้รับสิทธิ์โดยชอบธรรมให้เป็นผู้โดยสาร ข้อสอง ช่างกล้องที่เดินทางมากับเรา เป็นคน ‘ราชบุรี’ โดยกำเนิด และเรามีเวลาเหลืออีกร่วมชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมายกับทีมงานเบนซ์
เมื่อจังหวะและเวลาเป็นใจเช่นนี้ การแวะเที่ยวจึงสำคัญ
พี่ดิน(ช่างกล้อง) ค่อนข้างร้อนใจ เพราะมีหลายสถานที่ที่เขาอยากพาเจ้า Mercedes Benz GLC 250d ไปถ่ายรูปด้วยเสียหน่อย เขาจึงดันเข็มไมล์ทะยานขึ้นไปที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้ลึกๆ เราจะรู้สึกหวั่นใจในระดับความเร็วขนาดนี้ แต่ความนิ่งของเครื่องยนต์เยอรมัน ประกอบกับโฆษณายากำจัดศัตรูพืชชนิดต่างๆ คล้ายเป็นซาวด์แทรคที่ทำให้เราสงบใจได้ขึ้นมาก
และแล้วก็มาถึงจุดพักแรก อ่างเก็บน้ำราชบุรี แสงอาทิตย์ยามใกล้อัสดง สะท้อนตัดกับผืนน้ำ ดึงให้เราเคลิบเคลิ้มไปกับภาพของพ่อลูกที่กำลังหัวเราะ เจ้าหมาโกลเด้นสีครีมที่กระโดดไปเก็บจานร่อนอย่างเริงร่าในน้ำ เสพสมบรรยากาศตรงหน้าได้ไม่เท่าไร เข็มนาฬิกาก็สะกิดให้ขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป
‘เขางู’ เดิมทีเขางูเป็นเหมืองหินที่สำคัญนับแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน เขางูก็ถูกปล่อยให้รกร้างและกลายเป็นแก๊งค์ลิงป่าที่เข้ามายึดสัมปทานต่อแบบถาวร ก่อนที่ทางจังหวัดราชบุรีและภาคประชาชนจะตัดสินใจร่วมกันปรับปรุงพื้นที่บริเวณเขางูเพื่อทำเป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายและเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ภายในเขางูมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงโบราณคดีอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำฤาษี ถ้ำฝาโถ ถ้ำชาม ถ้ำจีน ซึ่งภายในพบพระพุทธรูปโบราณตั้งแต่สมัยทวารดีอยู่หลายองค์ อีกทั้งยังมีการใช้เลเซอร์ยิงลงในเนื้อหินเพื่อวาดเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ฝังตัวอยู่ในบริเวณเชิงผา
อันที่จริง นอกจากฝูงลิงที่ขี้เล่น และเป็นมิตรกับผู้คนแล้ว เขางูในฤดูแล้งค่อนข้างให้อารมณ์เหงาและเปลี่ยวผู้คน เพราะโดยปกติแล้ว เขางูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
ก่อนกลับเราเดินทางมารับประทานอาหารร่วมกันกับก๊วนผู้สื่อข่าวและทีมงานเบนซ์ที่ภัตตาคาร Octospider อาหารไทยฟิวชันหลากหลาย ทยอยวางลงบนผ้าปูโต๊ะสีขาวเบื้องหน้า ทั้งยำทะเลรสเผ็ดอ่อน ออร์เดิฟน้ำพริกหนุ่มกับผักสด ปลากะพงทอดเนื้อหวาน ส้มตำทะเลทอด และแกงเผ็ดเป็ด ก่อนตบท้องด้วยแตงโมหั่นบางๆ กับฝรั่งรสฉุ่ม
เราถ่ายรูปรวมด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายหน้าพาหนะคู่ใจที่พาเราเดินทางในวันนี้ ก่อนเราจะโหนตัวขึ้นที่นั่งข้างๆ คนขับ และผลอยหลับทันทีด้วยความอ่อนล้าในเบาะหนานุ่มของ GLC 250d ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าวัวป่า และจ็อกกี้คนใหม่ลัดเลาะไปตามท้องถนนที่วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ใกล้กรุงเทพฯ
Fact Box
- Mercedes Benz GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD ราคา 3,290,000 บาท และ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท
- GLC ทั้ง 2 แบบ มาพร้อมกับระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ ECO ที่ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน, INDIVIDUAL ที่สามารถบันทึกรูปแบบการขับขี่ที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ได้, COMFORT ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, SPORT และ SPORT+ เน้นการเพิ่มความเร้าใจให้กับการขับขี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติพร้อม PARKTRONIC เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่อีกด้วย ทั้งนี้ GLC สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 222 กม./ชม
- สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อทดลองขับรถยนต์ และสอบถามรายละเอียดเงื่อนไขได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศไทย พร้อมรับแคมเปญส่งเสริมการขาย มากมาย