ตอกย้ำความสำคัญของวัคซีน หลังนักวิทยาศาสตร์พบว่า ไวรัสหัดมีฤทธิ์ทำลายแอนติบอดี้สำหรับป้องกันไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ไปได้มากกว่าครึ่ง ข้อมูลนี้สวนทางกับแนวคิดต่อต้านการฉีดวัคซีนที่เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง จนทำให้อัตราการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้ในปี 2019 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีจำนวนผู้ป่วยโรคหัดมากถึง 1,250 คนหรือมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา

ที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีนหลายคนอธิบายว่า “หัดไม่ใช่โรคอันตราย” เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาหรือแม้แต่แพทย์เองก็มีน้อยนักที่เคยเห็นโรคหัดขณะก้าวเข้าสู่ระดับร้ายแรงเพราะการฉีควัคซีนก็เคยแพร่หลายในอเมริกา ทำให้ความร้ายแรงของโรคถูกหลงลืม อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เรื่องที่ร้ายแรงกว่าแค่การติดเชื้อหัด แต่คือการที่เชื้อหัดสามารถลุกลามไปสู่การทำลายเซลล์หน่วยความจำในแอนติบอดี้

ในการวิจัยครั้งแรกของ Elledge และ Harvard วิเคราะห์ตัวอย่างเลือดของเด็กในชุมชนอนุรักษนิยมทางศาสนาของเนเธอร์แลนด์ 77 คนที่ไม่ได้รับวัคซีนในช่วงการระบาดของโรคหัดในปี 2013 ผ่านการใช้เครื่องมือชื่อ VirScan ในการติดตามแอนติบอดี้ และพบว่า เชื้อหัดได้กำจัดแอนติบอดี้ในร่างกายของเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไปประมาณ 11-73%

โดยแอนติบอดี้ที่ถูกกำจัดมีความสามารถในการจดจำโรคและและช่วยให้ร่างกายรอดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแม้ผู้ที่รอดชีวิตจากโรคหัดจะสามารถได้รับภูมิคุ้มกันจากไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ คืน แต่กระบวนการอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือปี และต้องเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของการติดเชื้ออื่นๆ อย่างไรก็ตามเด็กที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดมาก่อน จะไม่สูญเสียแอนติบอดี้

ส่วนการศึกษาครั้งที่สอง จากสถาบัน Wellcome Sanger ของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ระบุผลวิเคราะห์แอนติบอดี้ที่เก็บจากตัวอย่างเลือดของเด็กชาวดัตช์ 26 คนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน พบว่ามีเด็กสองคนที่ไม่มีเซลล์หน่วยความจำภูมิคุ้มกันเฉพาะในเลือด หลังจากป่วยด้วยโรคหัดที่ทำให้พวกเขาอ่อนแอต่อโรคติดเชื้อที่เคยมีภูมิคุ้มกัน

การศึกษาทั้งสองครั้งชี้ให้เห็นว่า โรคหัดส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อเซลล์หน่วยความจำภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องร่างกายจากโรคติดเชื้อ ผ่านการจดจำภูมิคุ้มกันของโรคต่างๆ โดยแพทย์ที่ดูแลเด็กในช่วงโรคหัดระบาดที่นครนิวยอร์กในปีที่ผ่านมาเริ่มสังเกตเห็นว่า เด็กๆ ติดเชื้อขั้นรุนแรงระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น หลังจากการรอดชีวิตจากโรคหัด มีบางรายที่รุนแรงถึงชีวิต

ในขณะที่ Michael J. Mina นักวิจัยของ Harvard Medical School และ Brigham and Women Hospital เปิดเผยว่า “ส่วนสำคัญที่สุดคือ ต่อให้เด็กๆ หรือคุณโชคดีข้ามผ่านความตายจากโรคหัดมาได้ แต่พวกเขาจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงมหาศาลที่จะติดเชื้ออื่นๆ ในวันข้างหน้า”

ทั้งนี้ ในปี 2018 มีตัวเลขคาดการณ์ผู้ติดเชื้อหัดมากกว่า 7 ล้านคน ในขณะที่มีผู้รับวีคซีนป้องกันเพียง 120,000 คน ซึ่งอาจจะหมายถึงการที่อาจจะมีผู้ป่วยหลายคนจากการติดเชื้ออื่นๆ หลังการหายจากโรคหัด

การระบาดของเชื้อหัดในนิวยอร์ก มีศูนย์กลางอยู่ที่ชุมชนชาวยิวออร์โธด็อกซ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน และมีผู้ปกครองหลายคนไม่เต็มใจให้เด็กฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด แม้ปีที่ผ่านมา นิวยอร์กจะออกกฎบังคับให้เด็กที่ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนทุกคนจะต้องฉีดวัคซีน เพื่อลดโอกาสในการระบาดของเชื้อไปสู่เด็กคนอื่นๆ ก็ตาม

ที่มา

Tags: , , , , , , ,