หรือเราไม่ตกหลุมรักกันแล้ว…

ใครบ้างไม่อยากมีความรัก? อย่างน้อยๆ เราคงเคยโหยหามันไม่ต่างจากสิ่งที่คนอื่นเป็น ช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรักนั้นมันช่างหอมหวาน พิเศษ และน่าหลงใหล การได้ใกล้ชิด สนิทสนม แบ่งปันความชอบกับใครอีกคนเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข

วิทยาศาสตร์บอกว่าการตกหลุมรักไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือความโรแมนติก แต่คือสารเคมีในสมองที่สั่งการให้เราหลุดไปอยู่ในช่วงเวลาตรงนั้น แต่ตามสถิติแล้วทุกวันนี้หลายๆ ประเทศกำลังประสบปัญหาการแต่งงานที่ลดน้อยถอยลง หรือนั่นหมายความว่าคนเราตกหลุมรักกันน้อยลงแล้ว!?

Matrimonial Chaos สะท้อนความรักและชีวิตคู่ที่ไม่ได้งดงาม

Matrimonial Chaos เป็นซีรีส์เกาหลีที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Saikou no Rikon หรือ The Best Divorce ซึ่งออกอากาศในปี 2013 ทั้งหมด 11 ตอน แต่ในฉบับเกาหลีมีทั้งสิ้น 32 ตอน โดยตัวละครหลัก 4 คน นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมือ ได้แก่ แบดูนา (Bae Doo-Na), ชาแทฮยอน (Cha Tae-Hyun), อีเอล (Lee El) และซนซอกกู (Son Seok-Koo)

คู่รักคู่หนึ่งพบกันได้เพราะหน้าที่การงานของอีกฝ่าย ฝ่ายชายไม่ใช่ประธานใหญ่จากบริษัทไหน ไม่ใช่ผู้กองจากสำนักงานใด ไม่ใช่อัยการจากหน่วยงานราชการ เขาคือ โจซอกมู ชายหนุ่มที่จบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง มีความฝันที่จะเป็นนักดนตรี ไล่ตามมันอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อไม่เข้าใกล้มันเสียที เขาจึงฝังมันไว้ในอดีต แล้วไปทำงานในบริษัทรักษาความปลอดภัย วันหนึ่งเขาก็ได้พบกับหญิงสาวท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ที่มีทั้งความไร้เดียงสาและดื้อรั้น เธอคือผู้หญิงที่เขาขอแต่งงาน ชื่อว่า คังฮวีรู

วันเวลาสุขทุกข์ที่ทั้งคู่ใช้ร่วมกันได้ผ่านไปนาน 3 ปี จนถึงจุดอิ่มตัว ความไม่เข้าใจทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ความหวานชื่นจางหายไป ต่างจากช่วงเวลาแรกที่พบกัน เขาเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ การแต่งงานเริ่มขึ้นและจบลงด้วยเอกสารแผ่นเดียว แต่เรื่องราววุ่นๆ ดูจะไม่จบลงแค่นั้น พวกเขาบังเอิญเจอกับคู่แต่งงานคู่หนึ่ง จินยูยองและอีจางฮยอน ซึ่งจินยูยองเป็นรักครั้งแรกของโจซอกมู และอีจางฮยอนก็คือสามีของเธอในปัจจุบัน รักครั้งแรกย้ายมาอาศัยไม่ไกลนักจากบ้านของโจซอกมู เธอเปิดร้านตัดผ้าเล็กๆ เป็นของตัวเอง มองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วจินจูยองไม่ต่างจากผ้าพับไว้ เธอดูเป็นกุลสตรี ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี แม้ว่าลึกๆ แล้วเธอรู้ว่าอีจางฮยอนคบผู้หญิงซ้อนอีกมากกว่าหนึ่งคน เขาเป็นอาจารย์ผู้มีบุคลิกค่อนข้างสบายๆ ปฏิเสธอะไรไม่ค่อยเป็น และไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังสักเท่าไร

เมื่อทั้งหมดโคจรมาเจอกัน เรื่องราวความรักซับซ้อน แต่ไม่ซ่อนเงื่อนจึงชุลมุนไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายแล้วทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่าจะยังมีความหมายหรือไม่ หรือมันก็แค่เพียงกระดาษหนึ่งแผ่นเท่านั้น เราจะรักหรือไม่รักกัน ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระดาษแผนนั้นไม่ใช่หรือ?

โจซอกมูกับคังฮวีรู: เหตุผลมากมายทำให้เรารักและเลิกกัน

ใน Matrimonial Chaos เราจะเห็นว่าความรักระหว่างโจซอกมูกับคังฮวีรูเริ่มต้นอย่างไร มันเป็นไปอย่างธรรมชาติ คนสองคนค่อยๆ เข้าหากัน เปิดใจรับกันและกันเข้าไป จากนั้นความรู้สึกก็ทวีคูณขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรักของพวกเขาไม่ได้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่มันก็มีความน่ารักแฝงอยู่ในนั้น จนพวกเขาตัดสินใจแต่งงานกันในที่สุด

ในสังคมเกาหลี ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยานั้นถูกให้คุณค่าไม่น้อยไปกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว คู่ที่มีความปรองดองนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ ลูกๆ ควรเคารพพ่อแม่ เด็กควรเคารพผู้ใหญ่ รุ่นน้องควรเคารพรุ่นพี่ พวกเขาจึงมักจะแบ่งแยกคนตามตำแหน่งและอายุอย่างเคร่งครัด และความกตัญญูต่อพ่อแม่จะถูกตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก ขนบธรรมเนียมด้านนี้มีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อซึ่งถูกรับเข้ามาตั้งแต่ยุคอาณาจักรโชซอน ในสมัยนั้นลัทธิขงจื๊อมีบทบาทต่อทุกด้าน ทั้งการบริหารประเทศและวิถีทางการดำเนินชีวิตของประชาชน จนกลายเป็นแนวปฏิบัติที่สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ตาม บ่อยครั้งคนในสังคมจึงถูกตั้งคำถามว่าอายุเท่าไร หรือถามถึงสถานภาพการสมรส เพราะหากยังไม่สมรสก็จะถือว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่

ผู้หญิงเกาหลีตามหลักของขงจื๊อนั้นคือผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดจะเป็นดั่งผู้หญิงในอุดมคติ ทำหน้าที่ภรรยาและแม่ที่ดีได้ สนับสนุนสามีและงานในบ้านได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ที่สำคัญคือกริยามารยาทงาม เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของสามี ดังนั้น หน้าที่ของผู้หญิงจึงถูกจำกัดอยู่แค่ในบ้าน กล่าวได้ว่าเกาหลีเป็นสังคมที่ยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่และมีการนับตระกูลจากฝ่ายชายเป็นหลัก

แต่โจซอกมูและคังฮวีรู ทั้งสองเป็นคนค่อนข้างหัวสมัยใหม่หรืออีกแง่อาจจะมองว่าเป็นคนเรียบง่ายสบายๆ ไม่ยึดติดกับประเพณีดั้งเดิม พวกเขาแต่งงานกันโดยที่ไม่ได้จัดงานแต่ง แม้ว่าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย โจซอกมูค่อนข้างไม่ลงรอยกับพ่อ แต่เขาสนิทกับย่ามาก ดังนั้นในแง่เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวโจซอกมูจึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจบิดามารดาอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคารพครอบครัวของตัวเอง

พ่อของโจซอกมูไม่ชอบย่า เพราะย่าหย่าร้างกับพ่อของเขา (หรือก็คือปู่ของโจซอกมู) ทั้งนี้ย่ายังเป็นเพียงแม่เลี้ยงด้วย พวกเขาจึงไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด เมื่อก่อนการหย่าร้างถือว่าเป็นความตกต่ำอย่างหนึ่งในชีวิตของชาวเกาหลี เพราะไม่เพียงเป็นการเสียชื่อเสียงระหว่างคู่สมรส แต่รวมไปถึงครอบครัวด้วย พ่อของโจซอกมูจึงไม่ติดต่อกับคุณย่าอีก

ปัจจุบันอัตราการหย่าร้างของเกาหลีกำลังขยายตัวเร็วขึ้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุการคบชู้ ลักษณะนิสัย การงานหรือการเงิน ชีวิตคู่ของโจซอกมูกับคังฮวีรูเองก็เดินทางมาถึงจุดนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อจู่ๆ โจซอกมูเอ่ยปากขอหย่ากับคังฮวีรู เธอไม่ได้ตอบตกลงทันที แต่ก็ยอมรับมันในเวลาต่อมา พวกเขารู้ตัวดีว่าเพราะอะไรทำให้ทั้งคู่เดินทางมาถึงจุดนี้ นั่นก็คือความไม่เข้าใจและความบาดหมางเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมเรื่อยมา คำพูดที่ทิ่มแทงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่เคยจับเข่าและเปิดอกคุยกันสักครั้ง จนวันหนึ่งความอดทนของต่างฝ่ายต่างลดน้อยถอยลง

เมื่อเข้าสู่ยุคทุนนิยม เหตุผลนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นและด้วยการมาถึงของยุคสมัยที่ความเท่าเทียมทางเพศถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง รัฐบาลเกาหลีก็สนับสนุนหลายๆ ทางเพื่อให้ผู้หญิงมีที่ทางของตัวเองมากขึ้น (แต่ด้วยความที่ลัทธิขงจื๊อฝังรากลึกมานาน มันจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้เพียงข้ามคืน เพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในจิตสำนึกของพวกเขาไปแล้ว) คังฮวีรูแม้ไม่ได้ทำงานประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่เธอก็ไม่ได้พึ่งพาโจซอกมูไปเสียทุกเรื่อง เธอทำหน้าที่ภรรยาที่ดีเท่าที่จะทำได้ และหาเลี้ยงตัวเองด้วยงานพาร์ทไทม์หลายๆ อย่าง

ถึงกระนั้นชีวิตคู่ของพวกเขาก็เริ่มต้นและจบลงที่กระดาษแผ่นเดียว มันไม่ได้เป็นเพราะผู้หญิงหาเลี้ยงตัวเองได้ (แม้ในแง่หนึ่งมันจะมีผลในทางอ้อม เพราะพวกเธอสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ซึ่งแตกต่างจากในสมัยก่อน) ไม่ได้เป็นเพราะแนวคิดขงจื๊อที่เบาบางลง ไม่ได้เป็นเพราะข้อขัดแย้งระหว่างพ่อตาแม่ยาย แต่เป็นเพราะโจกซอกมูและคังฮวีรูเองต่างหาก เมื่อได้ถอยออกมาคนละก้าว นั่นทำให้โจซอกมูและคังฮวีรูมองเห็นจุดบกพร่องของตัวเอง รับรู้ว่าธรรมชาติของอีกคนเป็นอย่างไร สิ่งไหนที่สามารถปรับเข้าหากันได้ สิ่งใดที่ทำแล้วจะทำร้ายกัน รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกคนไม่เคยพูดออกมา คนที่เราเคยรักนั้นเป็นอย่างไร ในวันนี้เขาหรือเธอยังเป็นคนๆ นั้นอยู่หรือเปล่า ความรักไม่ได้สร้างและจบลงในวันเดียว ความผูกพันไม่อาจตัดขาดได้เพราะกระดาษ ท้ายที่สุดแล้วสถานะทางสังคมที่เปลี่ยนไปก็ไม่สามารถบิดเบือนหัวใจตัวเองได้ พวกเขาจะได้รู้คำตอบของหัวใจว่ายังเป็นกันและกันอยู่หรือเปล่า และเราควรเลือกทางเดินแบบไหนให้ชีวิต เพราะการหย่าร้างไม่ได้เป็นดั่งจุดจบ แต่มันเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นอีกเส้นทางหนึ่ง มันอยู่ที่ว่าพวกเขาอยากเดินไปด้วยกันในแบบไหน แค่คู่รักหรือคู่ชีวิต

จินยูยองและอีจางฮยอน: ความกลัว มือที่สาม และคำโกหก

เรื่องราวของคู่โจซอกมูกับคังฮวีรูอาจเต็มไปด้วยพื้นเพทางสังคม แต่ความรักของจินยูยองและอีจางฮยอนนั้นต่างออกไป มันเต็มไปด้วยพิ้นเพทางจิตใจเสียมากกว่า จินยูยองและอีจางฮยอนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย แต่ลึกๆ แล้วใครจะรู้ว่าฝ่ายชายไม่ได้นำใบจดทะเบียนไปยื่นที่สำนักงานตามที่เข้าใจกัน

การพบกันของทั้งสี่คนมีความชุลมุนอยู่บ้าง มันเกือบๆ จะเป็นการสลับสับเปลี่ยนคู่รักในช่วงหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นการเกื้อหนุนกันและกันมากกว่า พวกเขาสนับสนุนความรักของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว พร้อมกันนั้นมันก็ได้ทำให้พวกเขามองเห็นความรักของตัวเองไปด้วย

ความวุ่นวายของจินยูยองและอีจางฮยอนจึงไม่ใช่เรื่องการหย่าร้าง แต่เป็นเรื่องการแต่งงาน อีจางฮยอนนั้นถึงจะอยู่กินกับจินยูยอง แต่เขาก็มีผู้หญิงอื่นอีกมากกว่าหนึ่งคน การกระทำของเขานั้นเข้าข่ายเจ้าชู้เต็มประตู แต่เขาก็ไม่ได้ดูรักผู้หญิงพวกนั้นแต่อย่างใด หรือจะบอกว่าเป็นเพราะเซ็กส์นั่นก็ยังไม่มากพอ เมื่อดูไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าแท้จริงเขาคือคนที่หวาดกลัวความรักและหวาดหวั่นกับความไม่มั่นคง

ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าอีจางฮยอนอาจมีอาการ Philophobia ซึ่งเป็นผลพวงมาจากรักครั้งแรกในวัยมัธยม เขาจึงหนีความรู้สึกรัก ไม่กล้าเข้าใกล้ความรู้สึกพิเศษกับใคร และกลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างจริงจัง โดยทั่วไปสาเหตุของโรคนี้ยังคลุมเครือ แต่เหตุผลหนึ่งก็พบว่ามาจากการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถูกทำร้าย หรือถูกทอดทิ้งในวัยเด็กมาก่อน ทำให้ผู้ป่วยฝังใจจนไม่กล้าไว้ใจใคร อีจางฮยอนจึงปิดใจตัวเองและไม่กล้าเผชิญหน้ากับความรักตรงหน้าที่จินยูยองมอบให้

ในด้านจินยูยองเอง เธอรับรู้ว่าตลอดว่าอีจางฮยอนมีคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพูดหรือต่อว่าเขาสักคำ นั่นเป็นเพราะลึกๆ แล้วเธอก็มีความกลัวเช่นกัน ในวัยเด็กจินยูยองต้องพบว่าพ่อที่เธอรักนอกใจแม่ไปอยู่กับผู้หญิงอื่น และมันทำให้แม่ต้องเจ็บปวดขนาดไหน แม่เหมือนหญิงบ้าคลุ้มคลั่งที่ไม่อาจรักษาความรักของสามีไว้ได้ ยิ่งเมื่อพ่อตายไปแม่ยิ่งซึมเศร้าลงไปอีก ถ้าอีจางฮยอนกลัวที่จะมีความรัก จินยูยองก็คืออีกด้านหนึ่ง นั่นคือกลัวที่จะไม่มีความรัก เธอพยายามรักษาความสัมพันธ์ไว้แม้จะต้องเจ็บปวด ไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธหรือหึงหวง แต่แน่นอนว่าคนเราไม่อาจวิ่งหนีปัญหาได้ตลอดไป เมื่อสถานการณ์พลิกผัน จินยูยองจึงกลายเป็นคนหันหลังให้ความรัก และอีจางฮยอนกลับต้องไล่ตามความรักให้กลับมา

จิตวิทยาแบบฟรอยด์นั้นบอกว่าจิตใต้สำนึกเป็นตัวผลักดันชีวิตเราอย่างมีนัยสำคัญ อดีตส่งผลต่ออนาคต ดังนั้นหากปัจุบันไม่มีความสุข เราอาจจำเป็นต้องกลับไปแก้ไขปมในอดีตเสียก่อน ชีวิตของจินยูยองและอีจางฮยอนก็คงเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเราแบ่งพาร์ทนับจากวันที่ทั้งคู่มีปัญหา จนถึงวันที่สถานการณ์ถูกคลี่คลายลง ชีวิตของพวกเขาอาจถูกแทนด้วยอีกทฤษฎีหนึ่ง นั่นคือจิตวิทยาแบบแอดเลอร์ แอดเลอร์บอกว่าแผลใจไม่มีอยู่จริง และอดีตไม่ได้สำคัญอะไรเลย จิตวิทยาแบบแอดเลอร์จึงเป็นหลักจิตวิทยาแห่งความกล้า การกล้าที่จะมีความสุข จงใช้ชีวิต ‘ตอนนี้’ อย่างจริงจัง ทั้งจินยูยองและอีจางฮยอนไม่สามารถแก้ไขอะไรในอดีตได้ แต่พวกเขาเลือกได้ว่าจะเชื่อใจกันไหม เพราะถ้ากลัวที่จะเชื่อใจกันแล้วละก็เราก็จะสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับใครไม่ได้เลย ทั้งคู่จึงต้องเลือกเส้นทางให้ตัวเองอีกครั้ง

จงเปิดใจ จงพูดคุย และจงยอมรับ

หากมีคนถามว่าความรักคืออะไร คุณจะตอบได้ไหม? ความรักของแต่ละคนคงแตกต่างกันออกไป ทั้งยังเริ่มต้นและมีจุดจบไม่เหมือน จากการชมซีรีส์ Matrimonial Chaos เราอาจสรุปสิ่งที่ควรจะทำในการรักและอยู่ร่วมกับใครสักคนได้ว่า ทุกปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อไม่ได้เอ่ยปากบอก มันจะไม่ถูกรับรู้หรือแก้ไข ดังนั้นการพูดคุยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการพูดคุยไม่ใช่แค่เป็นการบอก แต่มันจะนำมาซึ่งการปรับตัวเข้าหากัน เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้ใครอีกคนเพอร์เฟ็กต์ได้ตามที่ต้องการ แต่ในตอนแรกเราก็รักเขาหรือเธอในแบบนั้นไม่ใช่หรือ การคบกันมีกระทบกระทั่งกันบ้างไปตามประสา เราก็แค่ต้องค่อยๆ ปรับจูนเข้าหากัน ให้จังหวะชีวิตสอดคล้องกัน เพื่อจะได้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กันได้ ยอมรับในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็นแบบที่เรายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น มันคงไม่เหนือบ่าไปกว่าแรงหากเราต้องการอยู่ด้วยกัน

บทส่งท้าย

นอกไปจากประเด็นความรักที่เป็นแกนกลางของเรื่องราวแล้ว เราจะยังได้เห็นวัฒนธรรมต่างๆ ของเกาหลีผ่านตัวละครทุกๆ ตัวด้วย ทั้งค่านิยมเก่าและค่านิยมใหม่ และด้วยความที่วัฒนธรรมของเกาหลีกับญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกัน (อย่าลืมว่าซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากญี่ปุ่น) บทจึงมีการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมเกาหลี ซึ่งนักเขียนบทก็สามารถทำออกมาได้อย่างลงตัว ทางด้านการแสดงนั้น นักแสดงนำทั้งสี่คนสามารถสวมบทคาแรกเตอร์นั้นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ รวมถึงนักแสดงสมทบก็ทำให้ซีรีส์มีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ละคนมีปัญหาทางความสัมพันธ์ต่างๆ กัน และทุกคนก็เลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางความรักในแบบของตัวเอง

ล้มเหลวบ้างในบางเวลา และประสบความสำเร็จบ้างในเวลาต่อมา ชีวิตไม่ได้สวยงามและเลวร้ายด้านใดด้านหนึ่ง 100% จงมีความสุขกับวันนี้ และมีความรักได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจกัน

Tags: , , , , ,