ผมได้ยินคำว่า ‘โลกร้อน’ มานานหลายปี และการใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มานานปีก็ทำให้ตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้จะถาโถมเข้าใส่แทบไม่เว้นวัน แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นว่าผู้คนรายรอบจะดำเนินชีวิตโดยตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ
การพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นสำนักงาน ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นกองขยะอยู่ทุกวัน แล้ววันหนึ่ง ผมก็มุ่งมั่นตั้งใจจะเก็บขยะรีไซเคิลขายเป็นอาชีพเสริม ด้วยเห็นว่าในกองขยะที่ผมเดินผ่าน มีวัสดุสิ่งของจำนวนหนึ่งที่นำไปขายได้
ผมมุ่งมั่นตั้งใจคัดแยกสิ่งที่ขายได้ออกจากสิ่งที่ขายไม่ได้อยู่นานเป็นปี ได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายหลายรูปแบบถูกทิ้งรวมกันทั้งในถุงและนอกถุง ทั้งเศษผักเศษอาหาร กระดาษอ่อน-แข็งมากมายหลายชนิด ขยะมีพิษ-ขยะอันตราย วัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้า และที่มากที่สุดคือพลาสติก
ในระหว่างที่คัดแยกขยะ คำว่า ‘โลกร้อน’ ก็แวะเวียนเข้ามาในความคิดของผมอยู่เสมอ ใจหนึ่งก็นึกคิดไปว่าทำไมเจ้าของโครงการจึงไม่คิดถึงการจัดการขยะอันมากมายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของตัวเอง ส่วนอีกใจหนึ่งก็นึกตำหนิคนทิ้งขยะที่ผลิตขยะมากมายในแต่ละวัน
ต่อมา จากสิ่งที่ ‘ขาย’ ได้ ผมก็ขยับขยายสู่การคัดแยกสิ่งที่ ‘ย่อยสลาย’ ได้ หลังจากได้รู้ว่ามันคือต้นตอของก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 20 เท่า
ทำไปก็ภูมิใจอยู่เงียบๆ คนเดียว คิดว่าอย่างน้อยก็ได้ทำอะไรเพื่อโลกบ้าง แต่เมื่อจังหวะเวลาของชีวิตเปลี่ยนแปลง การนั่งคัดแยกขยะวันละ 1-2 ชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ทุกวันนี้ ผมยังคงเดินผ่านขยะกองโตอยู่ทุกวัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ผลิตขยะให้กับโลก ไม่ต่างจากพนักงานกินเงินเดือนหลายร้อยชีวิตในพื้นที่แห่งนั้นที่ตัวเองเคยนึกตำหนิ
แม้ข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้จะถาโถมเข้าใส่แทบไม่เว้นวัน แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นว่าผู้คนรายรอบจะดำเนินชีวิตโดยตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ
ผู้นำไทยรู้จักคำว่า ‘โลกร้อน’ มาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน โดยร่วมลงนามและให้สัตยาบันในกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ‘ทุกฉบับ’ ทั้งกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol: KP) และล่าสุดคือความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ปัจจุบัน ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 350 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของทั้งหมด อยู่ในลำดับที่ 21 ของโลก ภาคส่วนของไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงคือ ‘ภาคพลังงาน’ ซึ่งรวมถึงการผลิตพลังงานไปใช้ในภาคอื่นๆ เช่น การขนส่ง อุตสาหกรรม และครัวเรือน โดยปล่อยรวมกันถึงร้อยละ 73
รายงานของสหประชาชาติระบุว่าสภาวะโลกร้อนจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อไทย โดยทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศลดลงถึงร้อยละ 6 ภายในปี 2573
หลังจากความตกลงปารีสมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 ประเทศต่างๆ จึงเร่งดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามความตกลง สำหรับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อตอนปลายปี 2558 ว่า “ประเทศไทยจะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 ถึง 25 ภายในปี 2030 โดยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล ใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Eco Car รถไฟฟ้า การจัดการขยะ การปลูกป่าอาเซียน โรดแม็ปการลดหมอกควันให้เหลือร้อยละ 0 และสิ่งสำคัญคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดหลักความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน บนพื้นฐานความรู้คู่คุณธรรม”
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ ‘โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน’ ตามคำเชิญขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการ และมีสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เป็นหน่วยงานสหประชาชาติที่รับผิดชอบโครงการ
รายละเอียดแบบคร่าวๆ ของโครงการนี้คือการแปลงนโยบายในระดับรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติในระดับท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการจัดการเมืองคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในสี่เมืองนำร่อง ได้แก่ เทศบาลนครเกาะสมุย เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครเชียงใหม่ และเทศบาลนครนครราชสีมา
หน้าที่ของโครงการนี้คือการเสริมสร้างขีดความสามารถและการพัฒนาโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเมือง โดยเน้นที่ ‘การจัดการของเสียและการขนส่งยั่งยืน’ ซึ่งคาดหวังว่าเมืองนำร่องทั้งสี่แห่งจะนำบทเรียน ประสบการณ์ และผลสำเร็จจากการพัฒนาภายใต้โครงการนี้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ทั้งในประเทศและในภูมิภาค
ระยะเวลาดำเนินโครงการคือตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 โดยได้รับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility: GEF) จำนวน 108 ล้านบาท
“สมุยโตเร็วมาก จนบางครั้งผมเสียดายว่ามันโตจนเราเอาไม่อยู่”
สิ่งที่ตัวแทนจากเทศบาลนครทั้งสองแห่งกล่าวบนเวทีคือสิ่งที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผู้บริหารของท้องถิ่นน่าจะยินดีกับความเจริญก้าวหน้าและเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ โดยปล่อยให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาแก้ปัญหาของตัวเองไปตามยถากรรม
แต่สิ่งที่ตัวแทนจากนครราชสีมาและเกาะสมุยกล่าว มันก็สะท้อนว่าจริงๆ แล้วพวกเขาก็มียถากรรมของตัวเองเช่นกัน
นครราชสีมาไม่อาจปฏิเสธนโยบายที่ผลักดันให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งได้ ขณะที่สมุยก็ยอมรับตามตรงว่าพวกเขาฉุดรั้งการเติบโตอันเนื่องมาจากการท่องเที่ยวไว้ไม่อยู่
ขณะนั่งอยู่ในห้องประชุม ผมนึกถึงขยะที่มองเห็นอยู่ทุกวี่วัน นึกถึงเศษอาหารจากร้านอาหารน้อยใหญ่จำนวนมากมายมหาศาล และนึกถึงรถยนต์ที่วิ่งกันขวักไขว่ ถึงแม้จะเป็นภาพที่มองเห็นในกรุงเทพฯ แต่ผมคิดว่ามันก็คงไม่แตกต่างกันนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่สี่เมืองที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำฯ
เพียงแค่มองไปรอบตัว ผมก็เห็นอุปสรรคมากมายของโครงการนี้ และความหวังของโครงการนี้ก็อาจจะดูริบหรี่มากขึ้นเมื่อหันไปมองนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศ
ปลายปี 2558 นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถ้อยแถลงในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทยต่อที่ประชุม COP21 ว่าประเทศไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20-25 ภายในปี 2573 จะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พร้อมกับลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เกือบ 2 ปีต่อมา ผมจึงได้เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ ‘โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน’ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากถ้อยแถลงในวันนั้น
และสำหรับผม มันคือสิ่งที่จับต้องได้เพียงอย่างเดียวหลังจากวันนั้นเช่นกัน
Tags: ก๊าซเรือนกระจก, รามเนตร ใจกว้าง, ความตกลงปารีส, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน, พิธีสารเกียวโต, เทศบาลนครเกาะสมุย, เทศบาลนครขอนแก่น, เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลนครนครราชสีมา, สภาวะโลกร้อน, COP21, สหพล กาญจนเวนิช