ทำไมเราจึงปฏิเสธความเศร้ากันนะ เพราะว่ามันขมขื่น ไม่น่าภิรมย์ และทำให้คนเรา ‘แตกสลาย’ ใช่หรือไม่
เป็นสิ่งที่ผู้เขียนตั้งคำถามเมื่อได้อ่าน De Profundis ที่ใดมีความเศร้า ที่แปลจากจดหมายของ ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) ผู้ที่เคยมีช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์จากการเป็นกวีและนักเขียนบทละคร และผ่านชีวิตที่โศกเศร้าจากการต้องถูกจองจำในเรือนจำด้วยข้อหากระทำอนาจารในปี 1895 เพียงเพราะเขามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
ช่วงเวลา 2 ปีเต็มที่ไวลด์อยู่ในคุกคือช่วงที่เขาได้สำรวจความโศกเศร้า และพบว่ามีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ และนั่นทำให้เขาได้พบความจริงของการเป็นมนุษย์ จึงจดจารสิ่งนี้ลงไปในจดหมายที่เขียนอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดช่วงที่ถูกจองจำ
คือความเศร้าไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่เป็นความสมบูรณ์ของมนุษย์ที่ทุกคนควรได้ลิ้มลองสักครั้งในชีวิต
คงมีไม่มากที่เราจะได้เห็นหนังสือ บทกวี บทความ ที่เขียนขึ้นในคุกที่มืดมิด แสงอาทิตย์ส่องถึงน้อย ทำให้อารมณ์หม่นหมองยากที่จะเขียนสิ่งใด แต่สำหรับไวลด์แล้ว ดูเหมือนว่าองค์ประกอบนี้ทำให้เขาสามารถสะท้อนสิ่งที่เขานึกคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่ทุกข์ใจออกมาได้อย่างลึกซึ้ง
“ที่ใดมีความเศร้า ที่นั่นมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สักวันหนึ่งคนจะเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจชีวิตจนกว่าจะเข้าใจสิ่งนี้” (หน้า 29)
การต้องหันหน้าเข้าสู่เรือนจำ นอกจากการไม่ได้พบเจอกับแสงอาทิตย์สีเหลืองทอง กับอากาศบริสุทธิ์ภายนอกแล้ว ไวลด์ยังเผชิญกับความโดดเดี่ยวและต้องอยู่กับหัวใจที่แหลกสลาย สิ่งนี้คงเป็นอีกมิติหนึ่งของคนที่ขึ้นสู่จุดสูงสุด ได้รับเสียงชื่นชม รางวัลแห่งการเป็นบุคคลมีชื่อเสียง ที่วันหนึ่งต้องดิ่งลงจากที่สูงสุดเหมือนกับการโยนก้อนหินขึ้นฟ้า แล้วก้อนหินก้อนนั้นก็หล่นลงมาเบื้องล่าง
พวกเขาจะได้สัมผัสกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้สัมผัส นั่นก็คือความทุกข์ ความเศร้าโศก แต่กระนั้นการที่คนคนหนึ่งไม่เคยมีความโศกเศร้าเลย แล้วได้มาพบเจอมัน นั่นก็คือการเผชิญหน้ากับความสมบูรณ์แบบของการเป็นมนุษย์อีกขั้นหนึ่งแล้ว
อนึ่งการที่เราสูญเสียทุกสิ่ง ทั้งชื่อเสียง เงินทอง คือการได้รู้จักกับความสูญเสีย ขณะเดียวกันก็ทำให้เราได้รู้จักกับ ‘ความถ่อมตน’ ที่สำหรับไวลด์แล้วมองว่า เป็นสิ่งที่อยู่ในครอบครองของมนุษย์ เพียงแต่เราจะได้มันมาก็ต่อเมื่อเรายอมสละทุกสิ่ง หรือเมื่อเราสูญเสียทุกสิ่งไปแล้วเท่านั้น
ในหนังสือยังมองเห็นว่า ไวลด์พยายามไม่ให้ความทุกข์ระทมใจระหว่างที่อยู่ในคุกเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไร้ความหมาย แม้กระทั่งความทุกข์ ซึ่งนั่นก็คือการ ‘ถ่อมตน’ ที่เขาค้นพบนั่นเอง
ในเนื้อหา ไวลด์ยังแสดงออกถึงความเป็น ‘ปัจเจก’ ของเขาอย่างเต็มที่ เขามองว่า การที่เขาเดินทางมาอยู่ในพื้นที่แห่งการจองจำนี้ เป็นการตัดสินที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวของเขา ซึ่งเขา ‘ไม่ยอมรับ’ สิ่งที่เขาจะยอมรับนั้นจะต้องออกมาจากตัวของเขาเอง และสิ่งที่จะปลดล็อกเขาออกจากอิทธิพลของการสิ่งภายนอก นั่นคือการ “ปลดปล่อยตัวเองจากทุกความขมขื่นที่เกิดจากความรู้สึกต่อต้านโลกใบนี้” (หน้า 35)
“สังคมถือวิสาสะอ้างสิทธิ์ในการกำหนดบทลงโทษอันน่ารังเกียจให้กับปัจเจก ทั้งที่ตัวเองยังคงมีความตื้นเขิน ฉาบฉวยเป็นบาปมหันต์ และไม่ตระหนักถึงสิ่งที่มันกระทำ” (หน้า 43)
จุดนี้เป็นจุดที่ผู้เขียนชอบและสะท้อนสังคมปัจจุบันมากที่สุด ในวันที่การลงโทษผู้คนในสังคมถูกตัดสินจากกฎเกณฑ์ที่พวกเขาสร้างขึ้น (อย่างในกรณีของไวลด์คือการรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย) ทำให้ใครคนหนึ่งต้องรับโทษด้วยการติดคุก และเมื่อพ้นโทษแล้วสังคมก็ยังคงไม่ยอมรับพวกเขาอีก สุดท้ายคนที่ออกจากคุกมานั้นก็จะกลับเข้าไปในมุมมืด ซ่อนตัว เพราะพวกเขาไม่ได้รับโอกาสและการยอมรับจากสังคมอีก
แม้จะผ่านไปร้อยกว่าปีแล้วนับตั้งแต่ที่จดหมายของไวลด์เขียนขึ้น แต่ภาพของการตัดโอกาสผู้ที่เคยถูกจองจำยังคงเกิดขึ้น พวกเขายังกลายเป็นเพียงส่วนเกินของสังคม ที่ทำให้คนที่ไม่เคยถูกจองจำรู้สึกว่าบรรยากาศต้องแปดเปื้อน
ไวลด์กล่าวเอาไว้ช่วงหนึ่งว่า ในช่วงที่เขาอยู่ในคุก เขาเคยคิดว่าการตายอาจจะดีกว่าการมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสำรวจโลกใบใหม่ คือโลกแห่งความโศกเศร้า ขณะเดียวกันสิ่งที่ทำให้เขาเป็นสุขขึ้นคือการรู้จักการ ‘ยอมรับ’ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และไม่ปฏิเสธมัน แม้กระทั่งหลังจากที่เขาออกจากคุกไปแล้ว ก็จะไม่ลืมประวัติศาสตร์ของชีวิตตัวเองว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งใดมา
สำหรับไวลด์ ความเศร้าโศกคือความจริง ไม่ใช่หน้ากากที่เราสวมใส่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใคร ในความเศร้ามีความเศร้าอยู่เสมอ สิ่งที่เราทำได้คือการไม่ปฏิเสธมัน
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ที่เรียบเรียงจากจดหมายของไวลด์ ไม่มีท่อนใดที่เขาปฏิเสธความเศร้า และสิ่งนั้นคงเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดที่อยู่ในหนังสือ De Profundis ของไวลด์ ในท้ายที่สุด เมื่อเขาออกจากเรือนจำ ความตั้งใจของเขาไม่ได้เป็นการขอให้สังคมยอมรับในตัวเขาอีกครั้ง แต่เป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ไม่เคยปฏิเสธการมอบสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกคนจะได้รับสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้อย่างเท่าเทียมกัน
Fact Box
- ออสการ์ ฟิงกัล โอ’ฟลาเฮอร์ตี้ วิลส์ ไวลด์ หรือออสการ์ ไวลด์ เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1854 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1900 ด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- De Profundis ที่ใดมีความเศร้า, ออสการ์ ไวลด์ เขียน, รติพร ชัยปิยะพร แปล, จำนวน 160 หน้า, สำนักพิมพ์ P.S. Publishing, ราคา 230 บาท