“โลกนี้กว้างใหญ่เท่าใดเป็นเรื่องยากที่จะตอบ ต่อให้เรียนหนังสือจนรู้ความแล้วว่าโลกเรามีกี่ชาติ กี่ทวีป กี่เขตแดนสยามสิ้นสุดที่ใด อาณานิคมกว้างถึงไหน ระพีก็เดาไม่ได้อยู่ดี เพราะโลกทั้งใบของระพีมีความกว้างแค่สุดขอบรั้วบ้านดิเรกโยธิน” คือประโยคเปิดในบทแรกของนวนิยายเรื่องจวบระพีอัสดง โดยนักเขียนไทย Jacaranda K.
จวบระพีอัสดงเป็นนวนิยายพีเรียดไทยที่พาเราย้อนกลับไปในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปิดด้วยบรรยากาศการถกเถียงเรื่องปาลิเมนต์ จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่โลกสมัยใหม่ระอุไปด้วยไฟสงคราม
จวบระพีอัสดงว่าด้วยเรื่องราวของ ‘ระพี’ เด็กชายที่เติบโตมาในบ้านดิเรกโยธินท่ามกลางการโดนกดทับทางลำดับศักดิ์ แม้เติบโตในบ้านหลังใหญ่อย่างฝรั่ง มีบ่าวรับใช้คอยจัดสำรับ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไร้ความหมายในสายตาของระพี เมื่อถูกสายตาของคนในบ้านมองมาอย่างดูแคลน เนื่องจากระพีไม่ได้มีลำดับชั้นเทียบเท่าคนอื่นในบ้าน แต่สายตาเหล่านั้นกลับไม่ได้ชวนให้ระพีหนีออกไป กลับกันยังผลักให้เขาเข้าไปหลบในพื้นที่ของตนเองที่กลางบ้าน สถานที่ที่ตนมองว่า สมฐานะของบุตรชายที่เกิดจากแม่ที่เป็นบ่าว
จวบระพีอัสดงใช้พื้นที่ ‘บ้าน’ แต่ละหลังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านเรื่องราวในชีวิตของตัวละคร เริ่มจากเปิดเรื่องด้วย บ้านหลังแรกอันเป็นสถานที่เติบโตของระพี กระทั่งมีใครคนหนึ่งจูงมือระพีออกจากบ้านหลังแรกที่แสนอึดอัด ไปสู่บ้านอีกหลังที่อาจถือได้ว่า เป็นพื้นที่ที่ระพีมีสิทธิเลือกความเป็นไปของตนเองอย่างแท้จริง
จากรั้วลวง
หากพูดถึงบ้าน สำหรับระพีคงไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่คือ ‘โลกทั้งใบ’ เท่าที่เขารู้จัก
ทว่าโลกใบที่ขอบเขตสุดรั้วบ้านดิเรกโยธินนั้น กลับว่างเปล่าเกินกว่าจะเป็นบ้านในอุดมคติ เป็นความรู้สึกแปลกไปจากพื้นที่บ้านที่ควรจะเป็นหนึ่งเดียว มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแปลกหน้าฝังอยู่ทุกส่วนซอกใต้หลังคาไม้
สถานที่เดียวในบ้านที่ระพีพอเรียกว่าเป็น ‘โลก’ ของเขาได้บ้าง อาจไม่ถึงกับไม่กระดากปากมากนัก แต่ถือว่าดีที่สุดเท่าที่คนในบ้านจะมอบให้คนอย่างระพี นั่นคือ ‘ห้องนอน’ ขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางบ้าน หันหน้าประจันกับบันไดหน้าบ้าน
ไม่ว่าใครทำอะไรหรือพูดสิ่งใด เสียงรบกวนทั้งหลายจะเข้าไปอยู่ในการรับรู้ของระพี ฉะนั้นแล้วความเหงาของระพีมิได้เกิดจากความอ้างว้างของสมาชิกในบ้าน มิได้ว้าเหว่ด้วยความขาดแคลนสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต หากแต่วิเวกด้วยความอึดอัดคับใจ จะขยับตัวไปไหนมาไหนก็รู้สึกแปลกราวกับโดนบ้านทั้งหลังเบียดด้วยมวลอันหนักอึ้งจนหายใจลำบาก
แต่แม้จะอึดอัดเพียงใด ในห้องนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตของระพี ชั้นหนังสือที่บรรจุตัวอักษรนับร้อยนับพันในห้องนอน ระพีขลุกอยู่กับหน้ากระดาษ อ่านซ้ำจนจำได้ขึ้นใจ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว
ระพีใช้ชีวิตในโลกของตัวเอง กระทั่งมีบ่าวคนหนึ่งเข้ามาในห้องนอนกลางบ้านลวงของเขา พาระพีออกจากบ้านหลังนี้ไปสู่บ้านหลังใหม่ริมรั้วดิเรกโยธิน
สู่เสรีภาพ
‘นรินทร์’ เป็นบ่าวรับใช้ในบ้านดิเรกโยธิน ชีวิตส่วนใหญ่แทบจะตรงกันข้ามกับระพีทุกอย่าง แต่แล้วโชคชะตาก็พัดนรินทร์จากริมรั้วเข้ามากลางเรือนดิเรกโยธิน
เข้ามายังสถานที่หลบภัยของระพี
นรินทร์เป็นฝ่ายดึงระพีออกจากบ้านหลังแรก ออกจากมวลอากาศแน่นขนัด สู่บ้านหลังเล็กริมรั้วอันอบอวลไปด้วยความทรงจำของมารดา แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าเรือนหลัก แต่อาจถือได้ว่าเป็นพื้นที่ของระพีอย่างแท้จริง
ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านไม้หลังเล็กๆ หลบหลีกสายตาของผู้คน ทว่าสารพันปัญหากลับคอยบ่อนเซาะ พยายามบุกรุกเข้ามาในบ้านหลังนี้ ถึงโลกที่ทั้งสองพยายามสร้างขึ้นด้วยกันจะกว้างใหญ่เพียงใด แต่ก็เล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับโลกด้านนอก
“อย่ากระนั้นเลยนิ่ม ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ฉันก็รักเธอ ขอเพียงแต่ให้มีสักชาติที่เราไม่ต้องพบกันหลังตะวันตกดิน ไม่ต้องปิดเรือนให้มิดชิด ไม่ต้องกระซิบกระซาบกันในที่ลับ ไม่ต้องรักกันเงียบๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้” (หน้า 226)
ทั้งระพีและนรินทร์เผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ถูกแยกจากกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือบลาจากกันไปตลอดกาล ทว่าอาจเพราะโชคชะตาหรือสิ่งใดก็ตามที่พัดให้ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้ง ก่อนทั้งคู่จะตระหนักได้ว่า นอกจากบ้านริมรั้วดิเรกโยธิน ไกลจากสายตาผู้คนที่ทั้งคู่สร้างชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว ยังมีบ้านอีกหลังซึ่งครอบคลุมพื้นที่มหาศาลที่มิได้ยินดีปรีดากับรักของทั้งสอง
ท้ายที่สุดแล้วระพีกับนรินทร์ออกระหกระเหินจากบ้านหลังใหญ่ในเขตแดนสยาม ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา สถานที่ที่ทั้ง 2 คนสามารถใช้ชีวิตเงียบๆ ยังมุมหนึ่งของโลก และแสดงความรักกันได้เฉกเช่นที่มนุษย์ 2 คนพึงปรารถนา
หลังจากที่ได้อ่านงานชิ้นนี้ จวบระพีอัสดงอาจมิใช่นิยายรักหวานชื่นชวนให้เขิน (แม้จะเขินบ้างเป็นบางตอน) แต่คือนิยายที่ถ่ายทอดตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในช่วงสังคมหนึ่ง บันทึกชีวิต ความสัมพันธ์ ความหวัง และรอยแผลที่สลักไว้จากการเติบโตของตัวละคร
Fact Box
จวบระพีอัสดง, Jacaranda K. เขียน, จำนวน 352 หน้า, ราคา 390 บาท




