ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นภาพแฟนฟุตบอลแสดงความเสียใจและไว้อาลัยกับประธานสโมสรซึ่งไม่ใช่คนท้องถิ่น ยิ่งเป็นมหาเศรษฐีจากแดนไกลที่หลายคนคิดว่าเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเพื่อหาผลกำไรมากกว่าสนใจเรื่องฟุตบอลอย่างจริงจัง

แต่คงไม่ใช่กับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ วัย 60 ปี และเจ้าของธุรกิจดิวตี้ฟรี King Power ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันเสาร์ที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังเกมการแข่งขันที่เลสเตอร์ ซิตี้เสมอเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 1-1

เป็นที่ทราบกันดีกว่าทุกครั้งที่เลสเตอร์ ซิตี้ ลงเล่นในบ้านตัวเอง วิชัยจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเข้ามาชมเกมทุกครั้งไป แต่ในวันเกิดเหตุ เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวขึ้นฟ้าออกจากสนามไปเพียงแค่ 200 เมตร ใบพัดด้านหลังไม่ทำงาน ทำให้ตัวเครื่องเสียการควบคุมจึงตกลงบริเวณลานจอดรถ

หลังได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการต่อการเสียชีวิตของวิชัย จากทั้งสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และ King Power ทำให้แฟนบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ต่างร่ำไห้แสดงความเสียใจ ร่วมไว้อาลัยโดยการมอบดอกไว้บริเวณหน้าสนาม คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม บางคนแสดงความเห็นว่าเป็นเรื่องเศร้าที่สุดของสโมสร เพราะนี่คือเจ้าของสโมสรที่ดีที่สุดในโลก

วิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของประเทศไทย จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ มีทรัพย์สินทั้งหม162,500 ล้านบาท  ในปี 2010 เข้าซื้อทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ต่อจากมิลาน มันดาริช เจ้าของเดิม โดยในตอนแรกแค่จะนำแบรนด์ King Power ติดหน้าอกเสื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้อย่างเดียว แต่ภายหลังการเจรจา วิชัยตัดสินใจซื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 40 ล้านปอนฺด์ เพื่อแลกกับการถือหุ้น 51% และต่อมาถือหุ้น 100% ในปีเดียวกัน ซึ่งคาดว่าใช้เงินไปร่วม 100 ล้านปอนด์ในการซื้อหุ้นสโมสรทั้งหมด

มิลาน แมนดาริช เคยกล่าวถึงประธานสโมสรคนใหม่อย่างวิชัยว่า “เจ้าของสโมสรคนใหม่เป็นคนที่น่าทึ่ง มีความทะเยอทะยานเพื่ออนาคต เขามีบุคลิกที่ดี มีความซื่อสัตย์ และเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นจะนำความสำเร็จมาสู่สโมสรแห่งนี้ได้”

วิชัยมีเป้าหมายว่าอยากทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมชั้นนำของอังกฤษ จำเป็นต้องลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานใหม่ สนามซ้อม ห้องฟิตเนส อะคาเดมีเยาวชน และมองหานักเตะใหม่เข้าสู่ทีม โดยในเวลานั้นเลสเตอร์ ซิตี้ ยังวนเวียนอยู่ในลีคเดอะ แชมเปี้ยนชิพ  

ในฤดูกาล 2013-2014 เลสเตอร์ ซิตี้ ก็เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีคได้สำเร็จ แม้จะกระท่อนกระแท่นในปีแรกๆ ที่ขึ้นชั้นมา แต่ในปี 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์พรีเมียลีคครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร สร้างเทพนิยายจิ้งจอกสยามอันลือลั่น

ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อมากนัก สื่อไทยมีบ้าง แต่กับสื่อต่างประเทศยังไม่ค่อยเห็นมากนัก  แม้แต่ตอนที่เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียลีคอย่างเหนือความคาดหมาย หน้าที่ในการให้สัมภาษณ์หรือออกสื่อดูเหมือนจะเป็น อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ลูกชายคนเล็ก ปัจจุบันเป็นรองประธานสโมสร

เขาดูจะชอบอยู่เงียบๆ ไม่อยากถูกจับตามองจากสื่อมากนัก แต่เลือกที่จะลงมือทำให้สโมสรแห่งนี้ประสบความสำเร็จมากที่สุด เขามีแผนจะลงทุน 100 ล้านปอนด์ในการขยายสนามซ้อมให้ทันสมัย นำเข้านักเตะคุณภาพเข้าสู่ทีม สร้างนักเตะที่ตอนนี้กลายเป็นระดับโลกจนทีมอื่นต้องซื้อไปในราคาสูงลิบ เช่น เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และริยาด มาห์เรซ

เมื่อครั้งที่เลสเตอร์ ซิตี้ มาฉลองแชมป์พรีเมียลีคที่เมืองไทย วิชัย ศรีวัฒนประภา บอกเคล็ดลับการบริหารทีมฟุตบอลว่า “เราอยู่กันแบบครอบครัว ผมใช้วิธีแบบไทยๆ ของพวกเรา เข้าไปอยู่กับพวกเขา คุยกับพวกเขา เข้าใจปัญหาของพวกเขา และแก้ปัญหาให้พวกเขา มันทำให้ประสบความสำเร็จดั่งเช่นวันนี้”

เขามีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกับนักเตะ ตอนที่ทีมได้แชมป์พรีเมียลีค วิชัยลงทุนซื้อรถ BMW i8  ซึ่งมีราคาประมาณ 100,000 ปอนด์เป็นรางวัลให้กับนักเตะทุกคน หรืออย่างกรณีการต่อสัญญาศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ เขาสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการชวนวาร์ดี้ไปที่ห้องทำงานส่วนตัว พูดถึงความมั่นคงของสโมสรและความก้าวหน้า วาร์ดี้และเอเย่นต์ก็ตกลงค่าเหนื่อยกันได้ จนวาร์ดี้ต่อสัญญากับทีมออกไปจนถึงปี 2022

ในทางหนึ่งเขาสร้างความผูกพันกับแฟนบอลเลสเตอร์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปี เขาแจกตั๋วฟุตบอลฟรี 60 ใบให้กับแฟนบอล บริจาคเงิน 2 ล้านปอนด์เพื่อสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลเด็กแห่งใหม่ และยังแจกเบียร์ฟรีก่อนเริ่มเกมการแข่งขันอีกต่างหาก

เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมชั้นนำของเกาะอังกฤษได้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ที่ไม่ใช่แค่ประธานสโมสรผู้หวังจะหากำไรจากธุรกิจฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่ความรักและความเข้าใจทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมาเทียบเคียงทีมใหญ่ๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

 

อ้างอิง:

Tags: , ,