เพื่อนรุ่นพี่ชาวอเมริกันที่มีสามีเป็นคนเม็กซิกันเตือนด้วยความหวังดี (ซึ่งว่าไปแล้วก็เหมือนคำขู่) ว่า ถ้าจะไปเที่ยวเม็กซิโก สิ่งแรกที่ควรเตรียมคือสเปรย์พริกไทย

ฉันเกือบเล่นมุขไปแล้วว่า ที่นั่นเขาไม่นิยมกินพริกไทยเหรอคะ แต่ด้วยแววตาของเธอที่ค่อนข้างจริงจัง ก็เลยสงบคำไว้ดีกว่า

ซึ่งนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากประโยคสเปรย์พริกไทย เธอก็บอกฉันว่า เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เพื่อนของเธอเกือบโดนคนร้ายลักพาตัวที่นั่น ขณะที่เมื่อสองปีก่อนเธอเพิ่งกลับไปเยี่ยมบ้านของสามีมา แม้จะไม่ประสบกับเหตุร้าย เธอก็รู้สึกถึงมวลอากาศของความไม่น่าไว้วางใจอบอวลอยู่ในหลายมุมเมือง

มีสเปรย์พริกไทยไว้เผื่อป้องกันตัวเนี่ยดีที่สุดแล้ว… เธอย้ำ

ฉันไม่ได้ถามต่อว่าเธอไปเมืองอะไรมาถึงได้น่ากลัวอย่างนั้น แต่สิ่งที่เธอเล่าก็ทำให้ฉันกลับไปนึกถึงทัศนียภาพแบบเมืองเมเดยิน ในโคลอมเบีย ที่อยู่ในซีรีส์เรื่อง Narcos ซึ่งฉายใน Netflix ที่การเอาปืนมาไล่ยิงกันดูเหมือนเป็นฉากในชีวิตประจำวัน ประกอบกับภาพจำจากหนังฮอลลีวูดที่ให้ภาพของเม็กซิโกเป็นดินแดนเถื่อนที่ชุกชุมไปด้วยพ่อค้ายาเสพติด มือปืนเลือดเย็นแบบในหนัง Sicario และชายฉกรรจ์หนวดยาวหน้าดุๆ อย่างแดนนี่ เทรโฮ ที่เราพบได้บ่อยในภาพยนตร์ของโรเบิร์ต โรดริเกซ ฯลฯ ยอมรับตามตรงว่าองค์ประกอบเหล่านี้ที่มาพร้อมกับคำเตือนของเพื่อนรุ่นพี่ สั่นคลอนภาพฝันที่ฉันมี (ว่าด้วยศิลปะ สถาปัตยกรรม รสชาติของเตกีล่า และการเต้นซาลซ่า) ของเม็กซิโกได้ไม่น้อย

จนพอได้มาถึง เม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของประเทศนี้จริงๆ ฉันก็พบว่าภาพฝันดั้งเดิมยังอยู่ และตลอดสิบวันที่ฉันปฏิบัติตามคำเตือนของเพื่อนรุ่นพี่ว่า ย่าทำตัวอินดี้ – เที่ยวในที่ที่คนอื่นเขาเที่ยว – พักในย่านที่นักท่องเที่ยวเขาพัก ฉันก็ลืมสเปรย์พริกไทยที่พกมาเป็นปลิดทิ้ง และว่าไปแล้วทริปเม็กซิโก ซิตี้ เป็นหนึ่งในทริปที่ฉันชอบที่สุดที่เคยเที่ยวมาเลยล่ะ

มีเรื่องอยากเล่าถึงเมืองนี้มากมาย แต่ขอเริ่มที่ย่านที่พักก่อน เพราะมันเป็นย่านที่น่ารักและน่าอยู่มากๆ แบบที่ให้พรรณนาแค่ย่านนี้ย่านเดียวเป็นหนังสือเล่มก็ยังไหว

ย่านที่ฉันพักในทริปนี้คือ ลาคอนเดซา (La Condesa) ค่ะ ฉันพบย่านนี้จากการกูเกิลคำว่าย่านที่ปลอดภัยที่สุดในเม็กซิโก ซิตี้ ซึ่งก็ติดอันดับย่านที่น่ารักที่สุดและฮิปที่สุด เช่นเดียวกับย่านโรมา (Roma) ที่อยู่ติดกัน ซึ่งฉันเลือกพักในคืนท้ายๆ เพราะนอกจากความเป็นมิตรที่สุดแล้ว ทั้งสองย่านนี้ก็ยังใกล้กับพิพิธภัณฑ์และตลาดที่หมายตาว่าจะไป และก็ไม่ไกลจากย่านประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเพียงนั่งรถไม่กี่อึดใจ

ในขณะที่บรรยากาศของเม็กซิโก ซิตี้ โดยรวมคล้ายคลึงกับกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิแสงที่ใกล้เคียง การจราจรที่คับคั่งจนดูคล้ายกับการจลาจล ไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วมุมเมืองจนดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ย่านหรูใจกลางเมืองที่หรูหราเว่อร์ราวกับอยู่คนละโลกกับย่านชุมชนแออัด (ที่ก็แออัดเว่อร์ไม่แพ้กัน) และอื่นๆ หากลาคอนเดซาและโรมากลับต่างออกไป เพราะมันเป็นย่านที่ปลอดจากตึกสูง ต้นไม้เยอะมากๆ ทางเดินเท้าก็ดีเลิศ แถมมีคาเฟ่และร้านอาหารเท่ๆ ซ่อนตัวอยู่ในตึกเก่าสไตล์อาร์ตเดโค (art deco) เต็มไปหมด แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการเป็นย่านที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกียรติกับคนเดินเท้ามากกว่าคนขับรถยนต์ ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้จากเมืองใหญ่ๆ เมืองอื่นๆ ในเมืองไทย   

Condesa มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า countess หรือภรรยาของท่านเคานท์ ซึ่งแต่เดิมที่ดินบริเวณนี้ก็เป็นสมบัติของท่าน countess ในยุคอาณานิคมสเปนตามชื่อ กระทั่งปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่กรรมสิทธิ์ของพื้นที่เริ่มกระจายตัวเป็นของเอกชนผู้มีอันจะกิน ที่ต่างมาปลูกบ้านสไตล์อาร์ตเดโคขนาดกะทัดรัด อันเป็นสถาปัตยกรรมสุดฮิตในยุคสมัยนั้น  กลุ่มอาคารดังกล่าวก็ยังคงถูกใช้งานมาจนสมัยนี้ เช่นเดียวทิวต้นไม้อันร่มรื่น ที่ต่างออกไปคือ แทนที่จะเป็นย่านของพวกผู้ดีเก่าอย่างเดียว ปัจจุบันลาคอนเดซาและโรมากลับเป็นย่านที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ซึ่งทำให้ย่านเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา

อัมสเตอร์ดัม อเวนิว (Amsterdam Avenue) คือถนนสายหลักของย่านลาคอนเดซา ถนนสายนี้มีเส้นทางเป็นรูปไข่ เมื่อเริ่มเดินจากจุดหนึ่งไปบนถนนสายนี้จนสุดถนน เราจะกลับมายังจุดเดิม เป็นถนนที่สะท้อนความน่าอยู่ของลาคอนเดซาได้ดี ไม่เฉพาะมันกำหนดขอบเขตของย่านอย่างชัดเจน แต่เพราะถนนค่อนข้างกว้าง กว้างเสียจนทางรัฐทำสวนสาธารณะไว้กลางถนน โดยปล่อยให้รถวิ่งกันทางเดียวขนาบสวนมันเสียเลย

แม้เป็นสวนแคบๆ ที่ตั้งอยู่กลางถนน แต่กลางสวนก็ยังมีทางเดินให้ผู้คนได้วิ่งออกกำลังกายหรือเดินเล่นชมนกชมไม้ แถมยังมีแปลงดอกไม้เล็กๆ ตั้งอยู่เป็นจุดๆ และเมื่อมองออกมายังทิวอาคารซึ่งตั้งกลมกลืนไปพร้อมกับต้นไม้ริมทาง ย่านนี้จึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเมืองในป่าที่ให้อภิสิทธิ์กับคนเดินเท้ามากกว่ารถยนต์ที่ดูเหมือนจะวิ่งกันตัวลีบๆ อยู่ข้างทาง (ที่ฉันประทับใจเป็นพิเศษ คือสัญลักษณ์ที่ถูกวาดไว้บนถนนเป็นรูปคนจูงหมาเพื่อจะบอกให้คนขับรถให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งอีกนัยหนึ่งสัญลักษณ์ก็อาจบอกว่านี่คือถนนของคนจูงหมามากกว่า เพราะว่าไปแล้วฉันก็พบคนจูงหมาออกมาเดินเล่นในสวนไม่น้อยไปกว่ารถที่วิ่งตัวลีบๆ อยู่สองข้างทางเสียด้วยซ้ำ)

ความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ในลาคอนเดซ่ายังเผื่อแผ่ทัศนียภาพขึ้นมาถึงหน้าต่างห้องนอนในอพาร์ทเมนต์ของแมนดี อพาร์ตเมนต์ที่เราพักสามคืนแรกในเม็กซิโก ซิตี้

การเดินไปในสวนกลางถนนอัมสเตอร์ดัม อเวนิว นอกจากพาเราไปชมต้นไม้ ตึกอาร์ตเดโคสีสวยๆ ซึ่งถูกปรับให้เป็นร้านรวงและบ้านพักอาศัยที่ตบแต่งอย่างน่ารักเข้ากับสภาพแวดล้อม ยังพาเราไปเจอร้านหนังสือ El Pendulo ร้านหนังสือที่คนที่นี่เคลมว่าเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมร่วมสมัยของย่านนี้ เพราะไม่เพียงจะมีหนังสือวรรณกรรมดีๆ ให้เลือกมากมาย ร้านหนังสือยังมีมุมแผ่นเสียงและมุมที่จำหน่ายดีวีดีภาพยนตร์นอกกระแสจากทั่วโลก ทั้งยังมีร้านอาหารและคาเฟ่ตั้งอยู่ข้างใน เป็นร้านที่หนุ่มสาวเม็กซิกันแต่งตัวดีๆ มานั่งแฮงก์เอาท์กันเต็มไปหมด โดยร้านหนังสือแห่งนี้ยังมีอีกสาขาที่ใหญ่กว่าในย่าน Polanco แต่งร้านได้สวยและชวนให้อิจฉาคนที่นี่มากๆ

อัมสเตอร์ดัม อเวนิว ยังพาเราไปพบกับ ปารเก เม็กซิโก (Parque Mexico) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ประจำย่าน ที่ภายในเต็มไปด้วยประติมากรรมสวยๆ ให้ชมไปพร้อมกับต้นไม้ท้องถิ่นหลากหลาย และวิถีชีวิตของผู้คนที่มาใช้สวน ที่ฉันเห็นแล้วเลิฟมากๆ คือวงคุณป้าเต้นซาลซ่า ให้อารมณ์คล้ายกับคุณป้าแถวบ้านเราที่มาเต้นแอโรบิกออกกำลังกายด้วยกัน แต่เป็นวงที่เต้นเพลงแมมโบ้อย่างพร้อมเพรียงและมันระเบิด อ่อ, ใกล้ๆ สวนยังมีร้าน El Moro ร้านขาย Churro (แป้งทอดแท่งยาวโรยน้ำตาล) เจ้าดังของที่นี่ ซึ่งถ้าได้ไปก็ควรสั่งมาชิมพร้อมกับช็อคโกแลตร้อนๆ ตำรับชนเผ่ามายาสักถ้วย

เดินต่อจากปารเก เม็กซิโก ก็จะเจอสวนสาธารณะอีกแห่ง คือสวนปารเก เอสปันญา (Parque Espana) ซึ่งเป็นสวนในอาณาเขตของย่านโรมา

ย่านโรมาจะพลุกพล่านกว่าลาคอนเดซา ต้นไม้อาจมีน้อยกว่า แต่ก็ที่นี่ก็ถูกทดแทนด้วย art scene เท่ๆ ทั้งสตรีทอาร์ตริมทาง สตูดิโอและแกลเลอรี่ศิลปะ รวมทั้งคาเฟ่และบาร์ฮิปๆ เอาใจวัยรุ่น ที่ฉันชอบมากคือ ย่านนี้มีโรงภาพยนตร์แบบสแตนด์อโลนอยู่หลายโรงด้วยกัน ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่ฉันคิดว่าการได้เดินเท้าหรือปั่นจักรยานออกจากบ้านเพื่อไปดูหนังเพื่อดูจบแล้วเราก็เดินกลับบ้านพร้อมไปกับครุ่นคิดถึงหนังที่เราได้ดูมา – นี่เป็นวิถีชีวิตที่ดีมากๆ เลยนะ

ที่โรมา ฉันพักบ้าน airbnb ของ มานูเอล ศิลปินภาพพิมพ์ชาวเม็กซิกัน เขาอาศัยอยู่กับภรรยาในอพาร์ตเมนต์ขนาดสองห้องนอนที่มีสวนขนาดย่อมอยู่กลางบ้าน เช่นเดียวกับศิลปินรุ่นใหม่คนอื่นๆ ในย่านลาคอนเดซาและโรมา มานูเอลเปิดสตูดิโอทำงานภายในบ้าน และแบ่งห้องนอนที่เหลือหนึ่งห้องให้เช่า

โรมายังทำให้ฉันคิดถึงย่าน Gràcia ในบาร์เซโลน่า ความที่เป็นย่านที่มีอาคารเก่าที่ถูกตบแต่งใหม่ให้มีชีวิตชีวา มีต้นไม้ตามทาง ไม่หนาแน่นจนแทบจะเป็นป่าแบบลาคอนเดซา แต่ก็พอให้ร่มรื่นสายตา ที่สำคัญคือเป็นย่านคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยร้านรวงและคาเฟ่เหมือนกัน ต่างกันก็ตรงที่ย่านโรม่าไม่ได้มีผังเมืองเป็น grid แบบย่านกราเซียเท่านั้น ว่าไปแล้ว ย่านเมืองเก่าของเม็กซิโก ซิตี้ ก็มีส่วนคล้ายบาร์เซโลน่าอยู่เยอะเหมือนกัน ต่างกันที่ผังเมืองซึ่ง เม็กซิโก ซิตี้ พัลวัน มากกว่าและไม่ติดทะเล ค่าครองชีพก็ถูกกว่ามาก

พูดถึงค่าครองชีพ ลืมบอกไปว่าเม็กซิโก ซิตี้ นี่ ราคาเป็นมิตรมากๆ ราคาข้าวของต่างๆ เหมือนอยู่เมืองไทย อพาร์ตเมนต์สวยๆ ที่ไปนอนมา ค่าห้องต่อคืนอยู่ที่ 800-1,000 บาท ทาโก้ตามร้านข้างทางกินแบบจัดเต็มก็ตกคนละไม่ถึงร้อยบาท นั่งอูเบอร์ไปไหนมาไหนก็ถูกกว่านั่งในกรุงเทพฯ อีก พอได้มาพักย่านนี้และเห็นคนปั่นจักรยานไปไหนมาไหนในชีวิตประจำวันได้จริง ก็ทำให้ฉันคิดฝันถึงขนาดว่า ถ้าพูดสเปนได้ ก็อยากย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เสียเลย

แต่นั่นล่ะ ก่อนที่ผู้อ่านจะเผลอคิดว่านี่เป็นบทความสรรเสริญแต่ความดีงามของ เม็กซิโก ซิตี้ เอาเข้าจริงแล้ว เม็กซิโก ซิตี้ ก็มีมุมที่ไม่น่าอภิรมย์อีกมากมายพอๆ กัน โดยเฉพาะการใช้พื้นที่สาธารณะที่ยุ่งเหยิงไม่ต่างจากกรุงเทพฯ

แต่โอกาสนี้ยังไงก็ขอดื่มด่ำกับความทรงจำสวยๆ เก๋ๆ ที่ประทับใจเราก่อนก็แล้วกัน

Fact Box

  • ย่านลาคอนเดซากับโรมาถูกแบ่งโดยถนน Insurgentes ถนนสายหลักของเม็กซิโก ซิตี้ ซึ่งมีรถเมโทรบัสวิ่งผ่าน เชื่อมต่อไปยังย่านอื่นๆ ของเมือง โดยสถานีเมโทรบัสจะตั้งอยู่กลางถนนเลย สังเกตง่ายมาก เพราะเมโทรบัสมีเลนเฉพาะของมัน ทำให้เป็นรถบัสที่ใช้สะดวก
  • ทั้งสองย่านนี้ไม่มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินค่ะ แต่ก็มีสถานีอยู่ในระยะเดินเท้าไม่ไกล แนะนำว่าถ้ามาเที่ยวไม่นาน ใช้บริการรถอูเบอร์สะดวกกว่าเพราะราคาไม่แพง
  • ทางที่ดีควรจำศัพท์ภาษาสเปนพื้นๆ มาไว้เอาตัวรอดเวลาสั่งอาหาร เพราะร้านอาหารท้องถิ่นของที่นี่ นอกจากไม่มีเมนูภาษาอังกฤษแล้ว รูปลักษณ์ของอาหารเม็กซิกันก็ไม่สามารถทำให้เรารู้ได้เลยว่า อาหารจานนี้ทำจากวัตถุดิบอะไร
Tags: , , ,