อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
– พระราชนิพนธ์แปล เวนิสวาณิช, พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

“ฉันอยากจดจำคำพูดนี้ไว้และให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน ต่อไป และต่อๆ ไป.. ฉันประทับใจคำพูดที่ว่าชีวิตคือการเดินทาง และพระเจ้าอยู่กับฉันในทุกช่วงเวลาของชีวิต” เจอร์นี่ (นามสมมติ) กล่าวขณะบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางในชีวิต ตลอด 51 ปีของเธอมีชีวิตที่ค่อนข้างปกติ มีงาน มีบ้านที่จะกลับ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงทั่วๆ ไปก็คือ

เธอเข้าสู่วงการค้ามนุษย์ตั้งแต่อายุ 16

เราได้รับความไว้วางใจจากเธอในการบอกเล่าเรื่องราวนี้ ด้วยความหวังว่าเรื่องราวการเดินทางของเธอจะสามารถช่วยหญิงสาวอีกหลายๆ คนให้ข้ามผ่านประสบการณ์เหล่านั้นไปได้

วันที่เธอนัดเราไปสัมภาษณ์ตรงกับวันอีสเตอร์พอดี วันที่พระเยซูกลับมาจากความตาย และเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ตามความเชื่อของคริสตศาสนิกชน

เธอบอกว่าสะดวกวันนั้นเพราะต้องทำงานวันจันทร์ถึงเสาร์ แต่การเลือกวันที่จะบอกเล่าเรื่องราวการเกิดใหม่ของเธอซึ่งตรงกับวันอีสเตอร์ ก็ช่วยขับเน้นให้เรื่องราวนั้นมีพลัง

เจอร์นี่เกิดและเติบโตในครอบครัวมุสลิมที่มีพ่อเป็นคนหารายได้หลักในบ้าน แม่เป็นแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาด

“พ่อเป็นโฟร์แมน คุมงานสร้างสนามบินของทหารจีไอในภาคอีสาน” เธอเล่า

เมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตลงตอนอายุ 16 เจอร์นี่ต้องออกจากการเรียนเพื่อหารายได้มาช่วยเหลือแม่และน้องสาวสองคน

“ตอนนั้นจนมาก ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาทเป็นค่ารถเมล์ ไม่พอค่าข้าวเลยต้องดื่มแต่น้ำ พักเที่ยงก็ไปอยู่ในห้องสมุด” เธอเล่าว่ารายได้จากแผงขายของของแม่ไม่พอส่งลูกทั้งสามคนเข้าเรียน ด้วยความเป็นพี่คนโต เธอจึงเลือกที่จะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย

วันที่เธอนัดเราไปสัมภาษณ์ตรงกับวันอีสเตอร์พอดี วันที่พระเยซูกลับมาจากความตาย และเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่

เธอเล่าว่าถูกหลอกไปสัมภาษณ์งานและถูกข่มขืนตอนอยู่ ม.3 จากนั้นจึงเริ่มทำงานบริการทางเพศให้นายหน้าตามโรงแรม โดยรับทำงานในวันหยุด ได้ค่าจ้าง 1,500 บาทต่อชั่วโมง และ 3,000 บาทต่อคืน และต้องแบ่งเงินให้นายหน้าครึ่งหนึ่งไม่รวมค่าโรงแรม

เจอร์นี่ทำงานในวันเสาร์อาทิตย์โดยบอกกับครอบครัวว่าไปเรียนพิเศษและทำงานดังกล่าวมาตลอดจนกระทั่งจบชั้นมัธยมปลาย

หลังจากนั้น เจอร์นี่ในวัย 19 จึงเริ่มทำงานขายบริการเต็มเวลาตามไนท์คลับย่านสีลม เธอเล่าว่าทำเพราะไม่มีทางเลือกและอยู่กับความรู้สึกผิดบาปมาโดยตลอด

“ตอนนั้นฉันนอนไม่หลับและต้องดื่มเหล้าก่อนนอนทุกคืน” เธอกล่าว การกระทำโดยความจำเป็นนี้เธอมองว่าผิดมาตั้งแต่แรกแต่ก็ยังต้องทำอยู่ดี ส่วนหนึ่งอาจเพราะสภาวะทางจิตใจจากการถูกข่มขืนตั้งแต่อายุน้อย ทำให้เกิดสภาวะจำยอมและเลือกที่จะทำงานเหล่านี้ต่อไป

“ถ้าย้อนกลับไปได้ ตอนนั้นอยากเรียนมากกว่า” เจอร์นี่กล่าว

ในครอบครัวของเธอ นอกจากน้องสาวคนรองที่สนิทกัน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำงานขายบริการแต่อย่างใด เจอร์นี่จึงตกอยู่ภายใต้ความกดดันทางจิตใจอย่างหนักที่ไม่สามารถเล่าปัญหาของเธอให้คนใกล้ตัวฟังได้เพราะกลัวว่าจะผิดหวังในตัวเธอ แต่ก็ไม่สามารถเล่าให้เพื่อนในที่ทำงานหรือแขกฟังได้เช่นกัน

“สังคมของคนทำงานบริการเหมือนต่างคนต่างอยู่ มีการแบ่งแยกลำดับชั้น มีความอิจฉากัน” เธอกล่าว “ส่วนลูกค้าก็มีหลายประเภท เราไม่รู้เลยว่าคืนนี้เราจะเจอกับใคร หรืออะไร” เธอต้องพยายามเอาตัวรอดด้วยการทำให้ลูกค้าพอใจมากที่สุด ซึ่งในอีกแง่หนึ่ง ก็ปลูกฝังลักษะนิสัยชอบบริการและการสื่อสาร

เจอร์นี่ทำงานโดยที่ย้ายจากคลับแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง และพบกับผู้คนมากมายหลายรูปแบบ จนกระทั่งคืนหนึ่ง เธอได้พบกับเจ้าหน้าที่ขององค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศแห่งหนึ่งที่แฝงตัวเข้าไปปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ฟังเรื่องของเธอ รับทราบว่าเธอมีความประสงค์จะกลับไปเรียนต่อมากกว่าทำงานขายบริการทางเพศ เขาจึงเสนอช่องทางให้เธอไปติดต่อกับสำนักงานขององค์กร และนำบันทึกคำให้การของเธอมายื่นเรื่องขอทุนการศึกษา

“ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ได้กลับไปเรียนอีกครั้ง เพราะเป็นความต้องการของฉันมาตั้งแต่ต้น” เจอร์นี่กล่าวขณะให้สัมภาษณ์

เธอได้เบี้ยเลี้ยงชดเชย 2,000 บาทต่อเดือนและทุนการศึกษาสำหรับเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยการโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี จนจบการศึกษาตอนอายุ 24 หลังจากนั้นหนึ่งปี จึงได้โอกาสเริ่มทำงานเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท และทำงานในสายการโรงแรมและการท่องเที่ยวนับตั้งแต่นั้นมา

เธอเล่าว่าถูกหลอกไปสัมภาษณ์งานและถูกข่มขืนตอนอยู่ ม.3 จากนั้นจึงเริ่มทำงานบริการทางเพศให้นายหน้าตามโรงแรม

ปัจจุบัน เจอร์นี่ทำงานอยู่ในบริษัทการท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง และเริ่มที่จะยอมรับอดีตของตัวเองได้ เธออธิบายว่าเธอมีความสุขที่เพื่อนของเธอในโบสถ์ยอมรับและเข้าใจเธอ และอธิบายว่าเธอใช้ความพยายามอย่างมากจนกระทั่งสามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขได้อีกครั้ง

“เพราะการนอนเป็นช่วงเวลาที่อดีตกลับมาหาเรา” เธอกล่าว

เธอบอกว่า เพื่อให้ข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาได้ มีสามสิ่งที่ช่วยให้เธอจัดการกับสภาวะทางจิตใจได้นั่นก็คือ การพบจิตแพทย์ การรับประทานยา และการใช้เวลากับกลุ่มเพื่อนที่นับถือศาสนาเดียวกัน

เจอร์นี่อธิบายว่าเธอเลือกที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เพราะชาวคริสต์ค่อนข้างเปิดกว้าง เธอพบหนทางชำระบาปและรู้สึกเหมือนได้มีชีวิตใหม่ นอกจากนั้น เธออธิบายว่าการได้กลับไปเรียนช่วยให้ชีวิตของเธอพบกับโอกาสใหม่ๆมากกว่าที่คิด และเชื่อว่าการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองจะช่วยให้เธออยู่กับบาดแผลในอดีตได้ดีขึ้น แทนที่จะปิดไว้เป็นความลับคนเดียวหรือลืมมันไป

เมื่อถามว่าเป้าหมายในอนาคตของเธอคืออะไร เจอร์นี่ตอบว่าเธอต้องการเข้าร่วมกับคณะมิชชันและเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อใช้เรื่องราวของเธอในการเผยแพร่ศาสนา

เจอร์นี่เข้ามาพูดคุยกับผู้เขียนช่วงกิจกรรมรณรงค์เรื่องสิทธิแรงงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยกล่าวว่าจำชื่อองค์กรได้และอยากขอบคุณคนที่เคยช่วยเหลือเมื่อ 30 ปีก่อน หลังการสัมภาษณ์ ผู้เขียนบทความได้พยายามติดต่อเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว และพบว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และสุขภาพแข็งแรงดี (ปัจจุบันอายุ 91 ปี) และหลังจากที่ได้พูดคุยกันทางอีเมลก็ได้คำอธิบายว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้เคยทำงานในองค์กรและช่วยเหลือเจอร์นี่จริง ทว่าโครงการดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับโครงการขององค์กรในปัจจุบัน

Fact Box

ปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สายด่วน 1300 เป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดที่ผู้เสียหายหรือผู้พบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ (+66 99 130 1300 สำหรับการติดต่อจากต่างประเทศ)

Tags: ,