เมื่อต้นกันยายนที่ผ่านมา มีภาพข่าวคุณอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยืนถือป้ายสีเหลี่ยมผืนผ้าที่มองผิวเผินคล้ายกับแผ่นป้ายเงินรางวัลคู่กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แต่ตัวเลข 11,662 บนนั้น เป็นจำนวนโด๊สวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่กรมควบคุมโรคมอบให้เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในบุคลากร ซึ่งความจริงเจ้าหน้าที่น่าจะได้รับไปแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เพราะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยควรฉีดก่อนเข้าฤดูฝน 

นอกจากนี้หนังสือเวียนของกรมราชทัณฑ์ยังระบุว่าได้รับการสนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จำนวน 70,000 โด๊สสำหรับฉีดผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มและกลุ่มอื่นประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ต้องขังแต่ละเรือนจำอีกด้วย ซึ่งความจริงผู้ต้องขังก็น่าจะได้รับไปแล้วด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ในช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำอยู่ถึง 4 แห่งด้วยกัน

ไข้หวัดใหญ่

ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะมีอาการหนักกว่าไข้หวัดธรรมดา คือนอกจากไอ น้ำมูก เจ็บคอแล้ว ยังมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว สังเกตได้จากผู้ป่วยมักจะต้องการนอนพัก ไม่อยากลุกไปทำกิจกรรมอะไร นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่าย เมื่อผู้ป่วยไอหรือจามจะเกิดละอองฝอยในอากาศ พอคนใกล้ชิดสูดหายใจเข้าไป หรือมือสัมผัสกับน้ำมูกน้ำลายแล้วมาสัมผัสตา จมูก หรือปากตัวเองต่อก็จะทำให้ติดเชื้อตามกัน จนเกิดการระบาดในที่สุด

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมีลักษณะเป็นฤดูกาล (แผนภูมิที่ 1) คือถ้ามองเส้นกราฟการระบาดเป็นคลื่นจะมีคลื่นลูกแรกระหว่าง ม.ค.-มี.ค. ตรงกับช่วงปลายฤดูหนาว จากนั้นก็จะมีคลื่นลูกที่ 2 ขนาดใหญ่กว่าระหว่าง ส.ค.-ต.ค. ตรงกับช่วงปลายฤดูฝน ทว่าในปี 2562 นี้ เริ่มต้นมาคลื่นลูกแรกก็เป็น ‘คลื่นยักษ์’ ใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ยอดผู้ป่วยขึ้นไปถึง 50,000 ราย ส่วนคลื่นลูกที่สองก็มาเร็วกว่าปีก่อนๆ ตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ค. จนกระทั่งถึงตอนนี้

แผนภูมิที่ 1 จำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยปี 2562
           (ที่มา: รายงาน 506 กองระบาดวิทยา)

เรือนจำ

เรือนจำ โรงเรียน และค่ายทหารเป็นสถานที่ที่พบการระบาดไข้หวัดใหญ่เป็นกลุ่มก้อนมากที่สุด 3 อันดับแรก ซึ่งอย่างที่กล่าวไปตอนแรกว่าโรคนี้ติดต่อผ่านการหายใจและการสัมผัส การระบาดของไข้หวัดใหญ่จึงสะท้อนถึงความแออัดของสถานที่ เช่น ถ้าคนอาศัยอยู่กันหนาแน่น เมื่อผู้ป่วยไอหรือจามก็จะมีผู้สัมผัสเชื้อจำนวนมาก หรือบอกถึงกิจกรรมของผู้ที่อาศัยอยู่ เช่น นักเรียนเล่นกับเพื่อนในห้องเรียน ทำให้ติดเชื้อจากการสัมผัสและเกิดการระบาดในโรงเรียน 

สำหรับในเรือนจำมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทุกปี และเพิ่มขึ้นจาก 20 เหตุการณ์ในปี 2560 เป็น 44 เหตุการณ์ในปีนี้ และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 5,000 ราย (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2562) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบการเฝ้าระวังโรคที่พัฒนาขึ้น ทำให้มีการรายงานผู้ป่วยมากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะในปีนี้มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ภายในเรือนจำจึงมีแนวโน้มเช่นเดียวกัน ทว่ามีเรือนจำ 6 แห่งที่เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ซ้ำเป็นครั้งที่ 2

แผนภูมิที่ 2 จำนวนเหตุการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำปี 2560-2562
          (ที่มา: โปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด)

มาตรการ

มาตรการที่กรมควบคุมโรคเสนอกรมราชทัณฑ์มีทั้งหมด 6 มาตรการ ครอบคลุมทั้งระยะก่อน และระยะที่เกิดการระบาดไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น มาตรการด้านการเตรียมความพร้อมรองรับการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ การให้ความรู้ในการป้องกันไข้หวัดใหญ่แก่ผู้ต้องขัง ญาติ และเจ้าหน้าที่ การจัดสถานที่ จัดอ่างล้างมือพร้อมสบู่ ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีผู้สัมผัสบ่อย เช่น โทรศัพท์ในห้องพบญาติ เป็นประจำทุกวัน และจัดระบบระบายอากาศให้ถ่ายเทสะดวก

มาตรการด้านการเฝ้าระวังและคัดกรอง ได้แก่ การคัดกรองผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกราย เพราะผู้ป่วยรายแรกอาจติดไข้หวัดใหญ่มาจากนอกเรือนจำหรือเรือนจำแห่งอื่น การคัดกรองผู้ต้องขังทุกวันในช่วงเย็นก่อนเข้าเรือนนอน ซึ่งจะสามารถตรวจพบและแยกผู้ป่วยออกจากผู้ต้องขังคนอื่นได้ทันท่วงที ทำให้จำกัดการระบาดได้ รวมถึงการคัดกรองญาติก่อนที่เข้ามาเยี่ยมในเรือนจำด้วย เพราะหลายครั้งเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ภายหลังจากการเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยม 

วัคซีนไข้หวัดใหญ่

ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีโรคประจำตัวและน้ำหนักเกิน จำนวน 4 ล้านโด๊ส ถูกจัดสรรให้กับกรมราชทัณฑ์จำนวน 70,000 โด๊ส สำหรับฉีดให้กับผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน และกรมควบคุมโรคแนะนำให้ฉีดเพิ่มอีกประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ต้องขังทั้งหมด เพื่อป้องกันการระบาดในเรือนจำ

แต่ถ้าคิดจากจำนวนผู้ต้องขังเมื่อ ม.ค. 2562 จำนวนวัคซีนที่จัดสรรจะคิดเป็น 1 ใน 5 ของผู้ต้องขังทั้งหมด

อย่างไรก็ตามสถิติย้อนหลัง 5 ปีของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติอเมริกา (CDC) พบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีมีประสิทธิภาพไม่ถึง 50% (19-48%) คือป้องกันไม่ให้ติดเชื้อต่ำกว่าโอกาสทายเหรียญหัว-ก้อยถูก และถึงแม้วัคซีนจะยังมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของโรค คือช่วยไม่ให้ป่วยหนักถึงขั้นต้องนอน รพ. แต่วัคซีนที่จัดหาให้กรมราชทัณฑ์นี้ก็ไม่ควรจัดเป็นมาตรการหลักในการป้องกันไข้หวัดใหญ่เพียงมาตรการเดียว

ความเป็นไปได้

มาตรการการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่จากกรมควบคุมโรคยังมีปัญหาในการปฏิบัติงานจริง เช่น การคัดกรองอาการป่วยของผู้ต้องขังที่พยาบาลเรือนจำไม่สามารถทำได้ หรือการคัดกรองญาติที่เข้ามาเยี่ยม (หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้แจกหน้ากากอนามัย) ก็เป็นการคัดกรองความปลอดภัยด้านอื่นที่ไม่ได้รวมด้านสุขภาพเข้าไปด้วย ความเป็นไปได้ของมาตรการจึงน่าจะต้องรับฟังผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำด้วย

ส่วนปัญหาเรื่องความแออัดของในเรือนจำที่มีจำนวนผู้ต้องขังเกินความจุมาตรฐาน ทำให้ผมนึกถึงปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลที่มีผู้เสนอวิธีการแก้ไข้ที่ตรงข้ามกัน 2 วิธีการ คือขยายโรงพยาบาล สร้างตึกเพิ่มแล้วเพิ่มเจ้าหน้าที่ กับขนาดโรงพยาบาลเท่าเดิม แต่ลดจำนวนคนไข้ลง อาจลดด้วยการบริหารจัดการ หรือลดด้วยการสร้างเสริมสุขภาพก็ได้ วิธีแรกทำง่ายกว่า แต่วิธีหลังยั่งยืนกว่า ไม่แน่ใจว่าสำหรับเรือนจำวิธีการใดจะเหมาะสมกว่ากัน

โดยสรุปไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายผ่านเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ตา จมูก ปาก และทางเดินหายใจ จึงสะท้อนสาเหตุของการระบาดที่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงในพื้นที่นั้นๆ โดยเรือนจำเป็นสถานที่ที่พบการระบาดของไข้หวัดใหญ่มากที่สุดและเพิ่มขึ้นทุกปี กรมควบคุมโรคได้จัดทำแนวทางการป้องกันและควบคุมโรคขึ้นมา แต่ยังมีปัญหาในการปฏิบัติงานจริง ถ้าเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอาจควบคุมไม่อยู่ก็เป็นได้

 

Tags: , ,