ไม่แน่ใจว่าเคยมีใครทราบไหม แต่เคยมีคำกล่าวของนักมานุษยวิทยาที่เสนอว่า พระคเณศนั้นเป็นเทพที่อิมพอร์ตเข้าไปยังอินเดีย โดยกลุ่มคนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเราไม่พบหลักฐานของเทพเจ้าที่มีพระเศียรเป็นช้างในพระเวท และวรรณกรรมโบราณหลายชิ้น
ในพระเวทปรากฏเพียงวรรคสั้นๆ ว่า ‘คณานํ ตวา คณปตึ หวามเห กวึ กวี’ แปลว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดแห่งคณะ เป็นกวีแห่งกวี (ฤษี)’ แม้ปรากฏคำว่า ‘คณปติ’ ซึ่งเป็นพระนามของพระคเณศ แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า ยังไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆ ที่ชัดเจนกับพระคเณศที่เรารู้จักกัน
ในกรณีนักมานุษยวิทยาที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับการมาถึงของพระคเณศนั้น พวกเขาเชื่อมพระคเณศเข้ากับชาวมุนดะ (Munda) กลุ่มชนพื้นเมืองในแถบอินเดียตะวันออก (โอริสสา, ฌารขัณฑ์, ฉัตตีสครห์) เนื่องจากชนพื้นเมืองกลุ่มนี้พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) ซึ่งเป็นภาษากลุ่มเดียวกับภาษามอญ-เขมร และอีกหลายภาษาในภูมิภาคของเรา ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาอพยพเข้าไปยังอินเดียพร้อมกับเทพหัวช้างของตน
อย่างที่เราทราบกันว่า ตราประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นรูป ‘พระคเณศ’ ซึ่งวันนี้คือ วันคเณศจตุรถี เทศกาลของพระองค์ (วันที่ 27 สิงหาคม 2568) ฉะนั้นจึงยากที่จะไม่เขียนถึงพระคเณศในทุกๆ ปี
โบราณคดีของพระคเณศ
เมื่อเรามองหลักฐานทางโบราณคดีแบบย้อนทาง คือจากเอเชียตะวันออกใต้กลับไปยังอินเดีย (โดยส่วนมากเราจะมองภูมิภาคเราว่า เป็นส่วนขยายของวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งเรื่องนี้คุยกันได้อีกยาว ไว้โอกาสถัดๆ ไปก็แล้วกัน)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรัสสา คชาชีวะ ศึกษาพัฒนาการของพระคเณศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกพบว่า กลุ่มพระคเณศรุ่นเก่าในภูมิภาคนี้มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 ประกอบด้วยพระคเณศจากตวลผักกิน ประเทศกัมพูชา, พระคเณศจากเมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี และพระคเณศศิลา จากภาคใต้ (?) ปัจจุบันประดิษฐาน ณ โบสถ์พระคเณศ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ
สำหรับอินเดีย นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่ง เอ. เค. นาราอิน (A.K. Narain) เสนอว่า พระคเณศเป็นเทพนอกพระเวท แต่มีความเก่าแก่ โดยสัมพันธ์โดยตรงกับการนับถือช้างที่พบได้ทั่วอนุทวีป เราพบหลักฐานเก่าแก่หนึ่งในจารึกพระเจ้าอโศกจากกัลสิ (Kalsi), รัฐอุตรขัณฑ์ กล่าวถึงเทศกาลสรรเสริญเทพ (?) เจ้าช้างผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า ‘คชาตเม’ (Gajatame)
นอกจากนั้นในพื้นที่เมืองคาบูร์ ประเทศอัฟกานิสถาน เราพบหลักฐานการนับถือเทพเจ้าแห่งขุนเขาในชื่อ ปิลุศาระ (Pilishara) ชื่อนี้แปลคร่าวๆ ว่า ‘ผู้มีร่างกายของช้าง’ ที่น่าสนใจคือ มีความพยายามจะเชื่อมโยงคำๆ นี้เข้ากับคำว่า ‘ปิลไลยาร์’ (Pillayar) ในภาษาทวิฬซึ่งแปลว่า ลูกช้าง ด้วย
นักวิชาการหลายท่าน เช่น อาร์ นาคาสวามี (R. Nagaswamy) นักโบราณคดี-ประวัติศาสตร์ศิลป์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวทมิฬ เคยตั้งข้อสังเกตว่า พระคเณศที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดียองค์หนึ่งคือ พระปิลไลยาร์ปัตติ เทวรูปสลักจากผนังหิน ประธานแห่งวัดกรรปกะ วินายัก (หรือบ้างก็เรียก วัดปิลไลยาร์ปัตติ ปิลไลยาร์) โดยรูปสลักนี้กำหนดอายุจากรูปแบบทางศิลปะและจารึกชื่อนายช่าง (ชื่อ เอกัฏฏูร์ กูน เปรุปรนัม) ได้ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 12 ตรงกับรัชกาลพระเจ้านรสิงหวรมันที่ 1 มามัลละ แห่งราชวงศ์ปัลลวะ (พ.ศ. 1173-1211) ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา กำหนดอายุตัวอักษรได้เก่าไปกว่านั้นคือ ราวพุทธศตวรรษที่ 10

พระปิลไลยาร์ปัตติ (ที่มาภาพ: Wikipedia)
ย้อนกลับไปที่ภาคเหนือของอนุทวีป ความน่าสนใจหนึ่งปรากฏขึ้นผ่านเหรียญของเหล่ากษัตริย์ Indo-Greek ผู้ปกครองภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียระหว่างพุทธศตวรรษที่ 3-5 เช่น กษัตริย์เดเมเทียส/ เดเมทริอุส ที่ 1 เอเซนตุส (Demetrius I Anicetus) เอกสารฝ่ายสันสกฤตเรียกบุคคลนี้ว่า ทิเมตริยะ (Dimetriya)
เราพบว่า มีการนำเอาสัญลักษณ์รูปช้าง โดยเฉพาะหมวกรูปหัวช้างมาใส่ไว้บนภาพหน้ากษัตริย์ ข้อนี้ถูกอธิบายในทางวิชาการว่า กษัตริย์ชาวอินโด-กรีกหลังเอาตั้งถิ่นฐานในแถบอินเดียภาคเหนือฝั่งตะวันตกได้แล้ว จึงรับเอาสัญลักษณ์ของเทพท้องถิ่นเดิม (ปิลุศาระ) อันได้แก่ ช้าง มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของพวกตน สำคัญที่สุดคือเหรียญของกษัตริย์เฮอไมอุส (Hermaeus) กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 4 พบรูปเทพเจ้าหัวช้างประทับนั่งบนบัลลังก์บนเหรียญ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ภาพบนเหรียญนี้เป็นภาพเทพเจ้าที่เรียกกันว่า พระคเณศที่เก่าที่สุดในอนุทวีป

เหรียญของกษัตริย์เดเมทริอุส ที่ 1 เอเซนตุส (ที่มาภาพ: Wikipedia)

เหรียญของกษัตริย์เฮอไมอุส (ที่มา https://theprint.in/opinion/how-exactly-did-ganesha-arrive-in-indonesia-cambodia-quite-abruptly/1646471/)
ต่อมาในบริเวณดังกล่าวเราพบประติมากรรมลอยตัวรูปพระคเณศจากอัฟกานิสถาน โดยมาจากเมืองการ์เดซองค์หนึ่ง และอีกองค์หนึ่งมาจากเมืองคาบูล ทั้ง 2 องค์แสดงท่าประทับยืนทวิภังคะ พระวรกายอ้วน มี 4 กร โดยองค์จากการ์เดซนั้นสำคัญ เนื่องจากเราพบจารึกที่ฐานเรียกเทพองค์นี้ว่า ‘มหาวินายัก’ (Mahavinakaya) สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าศรีศาหิขิมคาละ (Sri Shahi Khimgala) แห่งโอทยานะ กษัตริย์ชาวกุษาณ ครองราชย์เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ 10 ที่สำคัญคือ นอกจากประติมากรรมพระคเณศที่ (น่าจะ) เก่าที่สุดรูปนี้แล้ว เหรียญของขิมคาละก็แสดงภาพกษัตริย์ใส่หมวกรูปหัวช้างเช่นเดียวกับกษัตริย์อินโด-กรีก ผู้ปกครองอินเดียเหนือฝั่งตะวันตกก่อนหน้า

เทวรูปพระมหาวินายัก แห่งการ์เดซ (ที่มาภาพ: Wikipedia)
สำหรับหลักฐานภายในเขตใจกลางของอนุทวีป (ประเทศอินเดียปัจจุบัน) เราไม่พบหลักฐานที่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 9 ตรงกับช่วงราชวงศ์คุปตะ หรือช่วงเวลาแห่งการก่อร่างสร้างตัวของคัมภีร์ปุราณะ ตัวอย่างสำคัญเช่น ประติมากรรมพระคเณศประทับนั่งจากถ้ำอุทัยคีรี รัฐมัธยประเทศ กำหนดอายุราวพระเจ้าจันทรคุปตะที่ 2 (พ.ศ. 918-958)
ฉะนั้นเราจึงอาจสรุปตรงนี้ได้ว่า จากหลักฐานทางโบราณคดีการนับถือเทพเจ้าที่มีลักษณะหรือเกี่ยวข้องกับช้างนั้นมีมาอยู่แล้วในหลายพื้นที่ของอินเดีย โดยพัฒนาแยกขาดจากกันเอง (?) และในเชิงรูปแบบ เทพผู้มีพระเศียรเป็นคชาชาติอาจพัฒนาขึ้นผ่านมุมมองของพวกกรีก ที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์กับเทพท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นช้าง ก่อนจะส่งต่อรูปแบบนั้นให้กับพวกกุษาณผู้เข้ามาปกครองบางพื้นที่ของอนุทวีป ก่อนจะก่อร่างกลายเป็นเทพแห่งอุปสรรคและความสำคัญในช่วงคุปตะ ผ่านอิทธิพลของคัมภีร์ประเภทปุราณะ สุดท้ายก่อเกิดเป็นพระคเณศที่เรารู้จักกันดีในที่สุด
ทั้งนี้และทั้งนั้น พระคเณศหลังจากกลายเป็นเทพหัวช้างตัวกลม ลูกชายพ่อศิวะและแม่อุมาแล้ว พระองค์เป็นที่ยอมรับของทุกคนทั่วทุกมุมที่วัฒนธรรมอินเดียไปถึง กลายเป็น Universal God และปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรมต่างๆ ข้ามพรมแดนทางศาสนาและความเชื่อ กระบวนการดังกล่าวนี้อาจเป็นภาพสะท้อนของการเดินทางอันยาวนานพระองค์ก่อนจะมาถึงทุกวันก็เป็นได้
คณปติ ปัปปา โมริยา!
มังคลามูรติ โมริยา!
ที่มาข้อมูล
ศรีหริทาส. (2552). คเณศวิทยา. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.
จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา. (2545). พระศิวะ พระวิษณุ พระพิฆเนศวร. กรุงเทพ: เทวสถานโบสถ์พราหมณ์.
Dhavalikar, M. K. (1971). “A Note on Two Gaṇeśa Statues from Afghanistan” (PDF). East and West. 21.
Kanisetti, Anirudh. (2023) “How exactly did Ganesha arrive in Indonesia & Cambodia? Quite abruptly” access through https://theprint.in/opinion/how-exactly-did-ganesha-arrive-in-indonesia-cambodia-quite-abruptly/1646471/
Nagaswamy, R. (1965). “Some Contributions of the Pandya to South Indian Art”, Artibus Asiae, volume 27, number 3, pp. 265-274
Narain, A. K. (1991). “Ganeśa: A Protohistory of the Myth and the Icon”. In Ganesh: Studies of an Asian God, edited by Robert L. Brown, 19–48. State University of New York Press.
Tags: อินเดีย, คเณศจตุรถี, พระคเณศ, พระพิฆเนศ, Indianiceation