ความทรงจำที่ดีถือเป็นเครื่องมืออย่างแรกสำหรับมนุษย์เราในการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ ars memoriae หรือ ‘ศาสตร์แห่งการจำ’ คือหนึ่งในความพยายามของการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการจำด้วยข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ว่ามนุษย์เรานั้นต่างก็ลอยคออยู่ในมหาสมุทรแห่งความหลงลืม ความทรงจำจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจนมาถึงยุคที่เราสามารถจดจารสิ่งต่างๆ ลงไปเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งก็ทำให้ความทรงจำที่แม่นยำในเรื่องต่างๆ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันในเหตุการณ์ต่างๆ ได้มากเท่ากับการบันทึกผ่านสื่อกลางอื่นๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันอาจหมายถึงภาพและเสียง
ความทรงจำที่เรามีจึงตกอยู่ในสภาพของความทรงจำส่วนบุคคลทั้งที่ในความจริงแล้ว ความทรงจำนี้เกี่ยวพันกับความทรงจำของผู้อื่น หรือมีลักษณะเป็นความทรงจำร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำเกี่ยวกับความรัก-ความสัมพันธ์ทั้งที่ดำรงอยู่หรือหมดสิ้นไปแล้วนั้นก็ล้วนอาจเรียกได้ว่าเป็นความทรงจำร่วมส่วนบุคคล ในกรณีของคนสองคนที่หมดรักและต้องการมีชีวิตต่อไปข้างหน้า การจัดการกับความทรงจำอาจเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น ด้วยเพราะความทรงจำในที่นี้ก็เหมือน ‘ผี’ หรือ ‘วิญญาณ’ ที่ตามหลอกหลอนเราอยู่เสมอ การพยายามสร้างความจดจำขึ้นใหม่ หรือพยายามลบเลือนอาจเป็นหนทางที่ทำให้สามารถอยู่ต่อไปได้ เพราะความผูกพันทั้งหลายที่เรามีถูกเชื่อว่า สถิตอยู่ในความทรงจำ แต่อะไรเล่าคือที่ตั้งของความทรงจำ? นี่เป็นประเด็นที่เราจะได้พูดคุยกันในบทตอนนี้
สสารและความทรงจำ
ย้อนกลับไปเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 มีนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสนามว่า เตโอดุล-อาร์ม็องด์ ริโบต์ (Théodule-Armand Ribot) ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชา จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) ทั้งที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนและกอลแลจ เดอ ฟร็องซ์ (Collège de France) ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนที่ชื่อว่า Les Maladies de la mémoire (1881) ออกมา ผลงานชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ‘ความทรงจำ’ เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานทางชีวภาพของมนุษย์ การจดจำได้สร้างบุคลิกและความเป็นตัวเรา ซึ่งทำให้เราแต่ละคนนั้นแตกต่างและแบ่งแยกออกมาจากคนอื่นๆ แต่ความทรงจำเหล่านี้อยู่ใดเล่า ริโบด์ได้ชี้ชัดลงไปว่า ความทรงจำสถิตอยู่ในสมองและระบบประสาทอันซับซ้อนของเรานั่นเอง ความทรงจำดำรงอยู่ในพื้นที่ (space) ส่วนอาการหลงลืม และแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า จิตไร้สำนึก (unconsciuouss) ก็เกิดขึ้นมาจากการขาดพื้นที่ของความจำ
ริโบด์ก็เป็นเช่นเดียวกับนักสรีรศาสตร์ (neuroscientist) ในยุคแรกเริ่มที่เห็นว่าสมองของคนเรานั้นเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ
ความทรงจำในกาลเวลา
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก Les Maladies de la mémoire ตีพิมพ์ได้ไม่นานก็มีนักปรัชญาผู้มีนามว่า อ็องรี แบร์กซง (Henri Bergson) จัดพิมพ์ผลงานที่มีชื่อว่า Matière et mémoire (1896) หรือ Matter and Memory ออกมา โดยเนื้อหาและใจความหลักส่วนหนึ่งนั้นเป็นการโต้แย้งกับทฤษฎีของริโบด์ สำหรับแบร์กซงแล้ว ความทรงจำนั้นไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ในสมอง หรือสถิตอยู่ในพื้นที่
ก่อนจะเล่าถึงรายละเอียดของข้อถกเถียงดังกล่าว เราอาจต้องพิจารณารากฐานความคิดที่ทั้งริโบด์และแบร์กซงมีร่วมกันก่อน นั่นก็คือทั้งคู่มีความเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของเฮอร์เบิร์ท สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) และสนใจในปรัชญาของอาร์เธอร์ โชเพนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) ซึ่งนักปรัชญาคนหลังนี้ให้อิทธิพลต่อนักเขียนและศิลปินจำนวนมากในฝรั่งเศส ตลอดช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นความแตกต่างอย่างสำคัญก็คือริโบด์ปฏิเสธการมีอยู่สิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ซึ่งก็ทำให้แบร์กซงเขียนงาน Matter and Memory ออกมาเพื่อชี้ให้เห็นว่า ความทรงจำของคนเรานั้นมีความสลับซับซ้อนกว่าสิ่งที่ริโบด์อธิบาย
ประการแรก แบร์กซงจำแนกความทรงจำ (memory) ออกเป็น 2 แบบ แบบแรก ความทรงจำ-ความเคยชิน (habit-memory) เกิดจากพฤติกรรม (การท่องจำ การทำซ้ำ หรือการฝึกฝน) จนสามารถปฏิบัติและแสดงออกได้โดยอัตโนมัติ ในขณะที่แบบที่สองเป็นภาพจำ หรือความทรงจำบริสุทธิ์ (pure memory) ที่ติดอยู่ในตัวบุคคล ความทรงจำชนิดนี้เกิดขึ้นในจิตไร้สำนึก (unconsciousness) ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ความทรงจำจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สสารและสิ่งที่จับต้องได้เช่นที่ริโบด์กล่าว แต่ยังคงเกี่ยวข้องสิ่งที่จับต้องไม่ได้เช่น ‘จิต’ หรือ ‘วิญญาณ’ อันเป็นคำเฉพาะที่แบร์กซงใช้อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ ‘ความทรงจำ’ ซึ่งเขาเห็นว่า มนุษย์เรานั้นมิได้จดจำแต่เพียงสิ่งที่เราตระหนักว่ารับรู้ แต่การมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รวมถึงผัสสะต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้สึกตัวนั้นก็สามารถสร้างความทรงจำใน ‘กาย’ ของเรา ซึ่ง ‘กาย’ ในที่นี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ในสมอง
ประการถัดมา สืบเนื่องจากแบร์กซงเห็นว่า ‘ความทรงจำบริสุทธิ์’ ไม่ได้สถิตอยู่แต่ในพื้นที่ ทว่าคงอยู่ในประสบการณ์ หรืออดีตของเราแต่ละคน ซึ่งความทรงจำที่ว่านี้เป็นตัวกำหนดความเป็นตัวเรา ภาพความทรงจำในสมองจึงเปรียบได้ดั่งภาพหรือจุดเล็กๆ ที่เป็นมากกว่าที่เราเห็น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของอดีต แบร์กซงได้ยกเอาแผนภาพรูปกรวยทรงหงายมาอธิบายแนวคิดในเรื่องนี้
ภาพนี้ประกอบด้วย SAB กรวยทรงหงาย ที่ปลายด้านหนึ่งสัมผัสกึ่งกลางระนาบ P ที่จุด S แบร์กซงให้ระนาบ P แทนพื้นที่ของ ‘ภาพตัวแทนแท้จริงของจักรวาลของข้าพเจ้า’ (plane of my actual representation of the universe.) กรวย SAB จึงเป็นตัวแทนของความทรงจำ ตรงฐานของ AB คือความทรงจำที่อยู่ในจิตไร้สำนึก (เราจดจำไม่ได้ว่าเราจำได้) หากปลายยอดของกรวยเป็นปัจจุบัน ส่วนฐานก็คืออดีตที่แผ่ขยายออกไป กรวยทรงหงายนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความเคลื่อนไหว ความทรงจำเคลื่อนตัวลงมาจากอดีตมาสู่ปัจจุบันผ่านการรับรู้และการกระทำ จุดเล็กๆ ตรงปลายยอดนี้เองที่เป็นที่ตั้งของ ‘ความทรงจำบริสุทธิ์’ ดำรงอยู่
สำหรับแบร์กซงแล้ว สมองจึงเป็นเครื่องมือหรือตัวกลางของความทรงจำมากกว่าจะเป็นที่กักเก็บคล้ายคลึงกับเหตุการณ์บางอย่างที่เราควรจะลืมไปตั้งนานแล้วกลับถูกเรียกคืนมาเช่นที่มาร์แซ็ล พรุสต์ (Marcel Proust) นักเขียนวนิยายชาวฝรั่งเศสได้สาธิตไว้ในนวนิยายเรื่อง À la recherche du temp perdu (1913-27)
ประการสุดท้าย ความทรงจำบริสุทธิ์ในความคิดของแบร์กซงจึงดำรงอยู่ใน ‘กาลเวลา’ ที่เราแต่ละคนมี ซึ่งความทรงจำดังกล่าวส่งผลต่อวิธีคิดและมุมมองที่เรามีต่อโลกและชีวิตของเราเอง และเมื่อเราผูกโยงความทรงจำนี้เข้ากับความทรงจำของคนอื่น คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับเรา เราก็จะพบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงความทรงจำที่เราเห็นว่าเป็นความเจ็บปวด เหมือนเช่นที่เราพยายามแทนที่ภาพความทรงจำนั้นด้วยภาพอื่นๆ (เช่น ใบหน้าของคนรักใหม่ ชื่อ หรือคำเรียกใหม่ๆ) หากเราจะลบความทรงจำที่ติดอยู่ในจิตไร้สำนึกได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ยากถึงยากที่สุด เพราะมันคือความทรงจำที่ติดค้างอยู่ในอดีตและกาลเวลาของเรา
การให้อภัยคือการเขียนอดีตขึ้นใหม่
ด้วยเพราะเหตุนี้ความทรงจำของเราจึงไม่เพียงเกี่ยวโยงกับความหลงลืม (forgetfulness) แต่ยังคงสัมพันธ์กับการให้อภัย (forgiveness)
สำหรับนักคิดหญิงชาวยิวเยอรมัน ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) แล้วการให้อภัยถือเป็นคุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงอดีต มันเปลี่ยนแปลงคำว่า “มันต้องเป็นเช่นนี้” ให้เป็น “ฉันต้องการให้มันเป็นเช่นนี้” การให้อภัยในแง่นี้จึงเป็นเหมือนการเขียนอดีตขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่า ในกรอบคิดแบบคริสต์ ‘การให้อภัย’ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของมนุษย์ และคงมีพระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าใครสมควรจะได้รับการให้อภัย หากแนวคิดของอาเรนท์นั้น นี่คือธุระของมนุษย์ ซึ่งในอีกทางก็เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงออกและการมีเสรีภาพของเราเอง และวางอยู่ตรงกันข้ามกับ ‘การแก้แค้น’ ที่เป็นทางเลือกแรกๆ ของใครหลายคน
‘การให้อภัย’ ในกรอบคิดของอาเรนท์จึงมีความน่าสนใจ เพราะมันในอีกทางก็เป็นการจัดการกับอดีตและความทรงจำในเรื่องต่างๆ มันอาจไม่ทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ทำให้เราสามารถมีชีวิตต่อไป และปลดปล่อยตัวเราจากอดีตอันเลวร้าย
อ้างอิง
Henri Bergson, Matter and Memory, translated by N.M.Paul and W.S. Palmer, (New York: Zone Books, 1991).
Pio Colonello, Phenomenology and Pathography of Memory, translated by Maria Giovanna Brauzzi, (Calabria: Mimesis, 2019).
Tags: ความทรงจำ, เวลา, In Theories, การให้อภัย