เมื่อหันมองย้อนไปปีก่อน ดินไร้แดน’ (Soil Without Land) หนังสารคดีว่าด้วยเรื่องตัวตนของคนไทใหญ่และตัวตนของรัฐฉานในฐานะรัฐชาติ ได้เล่าผ่านเรื่องราวชีวิตของจาย แสงลอดชายหนุ่มชาวไทใหญ่ผู้เคยทำงานในร้านคาราโอเกะกลางเมืองเชียงใหม่ แต่เพราะไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านไปฝึกทหารกับกองทัพปลดปล่อยรัฐฉาน (Shan State Army-SSA) บนดอยก่อวัน รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งห่างจากชายชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร

  ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้บันทึกโดยนนทวัฒน์ นำเบญจพลผู้กำกับฯ (ที่ทำหนังสารดีเกี่ยวกับชายแดนและตามถ่ายตัวละครกลับบ้านมาแล้วหลายเรื่อง เช่นฟ้าต่ำแผ่นดินสูงและสายน้ำติดเชื้อ’) มีจุดเริ่มต้นมาจากการเห็นภาพของเพื่อนชาวไทใหญ่ที่เคยฝันอยากเป็นตากล้องในกองถ่ายกลับต้องมาถือปืนในค่ายทหารแทน

หนังออกฉายในโรงภาพยนตร์และได้รับความนิยมในหมู่คนไทใหญ่มาก ถึงกับมีการทำวิดีโอฮาวทูมาดูหนังในโรง’  ก่อนจะมีการนำไปฉายแบบหนังกลางแปลงให้ชมฟรีในบริเวณ 9 วัดที่มีชุมชนคนไทใหญ่อาศัยอยู่ ที่แรงงานและคนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายกว่า ผู้เขียนก็มีโอกาสได้ดูหนังสารคดีเรื่องนี้ครั้งแรกที่วัดกู่เต้า จังหวัดเชียงใหม่ และได้สัมผัสกับบรรยากาศครึกครื้นมีชีวิตชีวาคลาคล่ำไปด้วยชาวไทใหญ่จำนวนมากที่มาดูหนังเช่นกัน

*ภาพขวามือถ่ายโดยรัศมิ์ลภัส กวีวัจน์*

แม้ภาพยนตร์จะโฟกัสไปที่ตัวละคร จาย แสงลอด เป็นหลัก แต่หนังก็ได้ฉายให้เห็นภาพของเด็กหนุ่มอีกหลายคนในค่ายทหารที่แทบจะไม่มีสิทธิ์ฝันอะไรในชีวิต อันเป็นผลพวงมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ไปพร้อมกัน แม้จะภาพยนตร์จะไม่ได้เล่าถึงส่วนนี้ตรงๆ ก็ตาม 

ความขัดแย้งในเมียนมาร์ นับเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลกนับตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อปี 1948 โดยรัฐบาลเคยลงนามในข้อตกลงปางหลวงกับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งต่อมาเป็นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ บทที่ 10 ที่ให้สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์แยกตัวไปปกครองตนเองหลังได้รับเอกราชแล้วสิบปี 

แต่เมื่อครบสิบปี รัฐบาลพม่าภายใต้การนำของนายพลเนวิน กลับฉีกรัฐธรรมนูญไม่ทำตามสัญญา ซ้ำยังกดขี่ชาติพันธุ์อื่น ประกอบกับการช่วงชิงผลประโยชน์ภายในประเทศและปัจจัยแทรกแซงจากภายนอก ทำให้ความขัดแย้งภายในเมียนมาร์หรือพม่าในยุคนั้นทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ก็ยังคงมีกองกำลังบางกลุ่มจับปืนสู้รบกันอยู่แม้จะมีการลงนามหยุดยิงและเจรจาสันติภาพมาแล้วหลายครั้งก็ตาม

เมื่อมองดูปีนี้ นนทวัฒน์ผู้กำกับฯ ได้จัดทำหนังสือภาพ ‘in process of time | เมื่อหันมองย้อนไป | Soil Without Land’ ขึ้นมา เหมือนเป็นการนำเสนอกระบวนการการทำงานของเขาในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2016-2020 ซึ่งรวบรวมไว้ผ่านภาพถ่ายสารคดีที่เขาเคยค้นคว้าและบันทึกข้อมูลไว้สำหรับทำบทภาพยนตร์ ภายในเล่มยังมีบทความจากนักเขียน นักวิชาการ และศิลปินที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับบริบทและประเด็นทางประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม และชีวิตของชาวไทใหญ่ที่ไม่ได้พูดถึงในภาพยนตร์ 

จากการทำงานหนัง รูปยังเหลืออีกบานเลย และยังมีหลายอย่างที่เราไม่ได้เล่าในหนัง เรื่องประวัติศาสตร์ของคนไทใหญ่ เรื่องชีวิตของพวกเขา เพราะหนังเราไม่ใช่หนังสารคดีแบบ informative (ให้ข้อมูล) เราเลยอยากหาที่เล่า…” นั่นคือเหตุผลของนนทวัฒน์ โดยเขาเปิดพื้นที่ให้วิทิต จันทามฤตบรรณาธิการภาพ และณัฐพล โรจนรัตนางกูรกราฟิกดีไซน์เนอร์ มาร่วมตีความและเล่าเรื่องในหนังสือภาพเล่มนี้

สำหรับเรา ถ้ามันเป็นหนังสือมันควรเป็นรูปแบบการเล่าแบบใหม่ให้คนที่ดูหนังมาแล้วได้ประสบการณ์ใหม่จากการดูหนังสือ หรือคนที่ดูหนังสือก็ได้ประสบการณ์ใหม่จากการดูหนัง ไม่ใช่ว่าดูหนังกับหนังสือแล้วได้คอนเทนท์เดียวกัน ได้ความรู้สึกเดียวกัน เราก็เลยลำดับเนื้อเรื่องใหม่

วิทิตเกริ่นถึงกระบวนการเล่าเรื่องในหนังสือภาพ ‘in process of time | เมื่อหันมองย้อนไป | Soil Without Land’ โดยเริ่มจากเขาและณัฐพลพูดคุยกันว่า มองเห็นอะไรร่วมกันบ้าง แล้วสร้างแฮชแท็กชุดคำขึ้นมา เช่น ความไม่มีตัวตน ความพร่าเลือน พรมแดน พื้นที่ ช่องว่าง ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็น key visual ของหนังสือภาพเล่มนี้

ในหนังจะมีฉากที่เราชอบมากเลย คือฉากที่จาย แสงลอดเปิดอัลบั้มภาพแล้วถ่ายรูปแม่เพื่อจะเอาไปพรินท์ ตอนที่เราดูหนังเรารู้สึกว่าความรู้สึกในซีนนี้มันรุนแรงมาก คือแม่ที่ตายไปแล้วยังไม่มีรูปแบบ original file เลย แต่ต้องถูกถ่ายซ้ำด้วยมือถือเพื่อเอาไปพรินท์ซ้ำคนเราจะไม่มีตัวตนอะไรกันได้ขนาดนั้น

ฉากประทับใจและมากด้วยพลังทั้งต่อความรู้สึกและเป็นใจความหลักของเรื่องเล่าถูกเลือกมาใส่ไว้ในมุมล่างของหนังสือ ภาพเล็กๆ เหล่านี้อาจถูกเปิดผ่านไปง่ายๆ โดยคุณอาจไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่ เช่นเดียวกับซีนนี้ในหนังที่ผู้เขียนต้องกลับไปย้อนพินิจพิจารณาอีกรอบ

วิทิตเล่าต่อว่า เขาจะไม่พยายามทำความเข้าใจกับช่วงเวลาของเหตุการณ์ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหลัง ตัวละครเป็นใคร และสำคัญพอที่จะต้องปรากฎในหนังสือเล่มนี้ไหม แต่เลือกด้วยการดูภาพอย่างเดียว แล้วอ่านใจความที่เริ่มจากภาพเป็นหลัก 

วิทิตกับณัฐพลเริ่มเส้นเรื่องจากสมมติฐานร่วมกันว่า คนทั่วไปมักจะมีการรับรู้แรกเกี่ยวกับไทใหญ่หรือรัฐฉานจากภาพงานฉลองวันชาติหรืองานปีใหม่ไต จึงหยิบภาพนี้มาเล่าเป็นอย่างแรกเพื่อร้อยเรียงไปกับบทความในเล่มที่มีเนื้อหาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนให้ผู้อ่านค่อยๆ ทำความรู้จักพื้นที่และวงจรของคนในพื้นที่นี้ไปพร้อมกัน

*ภาพขวามือถ่ายโดยรัศมิ์ลภัส กวีวัจน์*

ภาพชุดแรกๆ จึงเปิดพื้นที่ด้วยภาพของทหารคนหนึ่งก่อนนำไปสู่ภาพของคนจำนวนมากและภาพงานเฉลิมฉลอง ซึ่งหากเป็นภาพยนตร์ย่อมต้องได้ยินเสียงดังอึกทึกครึกโครม แต่ในฐานะผู้อ่านจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นแน่นอน แม้ภาพจะบอกเราได้ว่า ที่แห่งนั้นมีสรรพเสียงดังอยู่ สอดคล้องไปกับบทความที่พูดถึงเสียงที่ได้ยินและเสียงที่ไม่ได้ยินอย่างน่าสนใจว่า

บทสนทนาระหว่างทหารต้องโทษกับเพื่อนทหารในค่ายฝึก และตัวอย่างเพลงหลากสำเนียงจากวงลอดแลว ทำให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของเสียงที่หลากหลายภายใต้กองทัพไทใหญ่ ทว่านานาสรรพเสียงเหล่านี้เบาเกินกว่าที่ทุกคนจะได้ยิน แม้กระทั่งคนที่ละเอียดลออกับการฟังมากที่สุดก็อาจปล่อยให้เสียงเหล่านี้เงียบงันไปในนามของชาติเสียงที่ดังจนเป็นที่ได้ยินเป็นเสียงที่สัมพันธ์อยู่กับบ้านเมืองและกองทัพ’…เสียงที่เราได้ยินเหล่านี้ ล้วนเป็นเสียงที่เราได้รับอนุญาตให้ได้ยิน

ต่างกับภาพต่อๆ มา ที่เราได้ยินเสียงในนามของชาติอันสัมพันธ์กับบ้านเมืองและกองทัพอย่างชัดเจน ผ่านเสียงที่ตัดทอนออกมาเป็นซับไตเติ้ลในภาพยนตร์ว่า  ‘ประชาชนกับกองทัพมีหนึ่งใจเดียวกัน

*ภาพขวามือถ่ายโดยรัศมิ์ลภัส กวีวัจน์*

ในภาพชุดที่สอง วิทิตเล่าว่าจะเริ่มมีภาพของชาวบ้าน มีกิจกรรมที่ใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันในการสร้างอะไรบางอย่างในนามของความเป็นชาติ เช่น เวทีงาน การสวนสนาม การพบปะญาติในวันสำเร็จหลักสูตรฝึกทหาร ซึ่งมีตัวละครและองค์ประกอบของความเป็นชาติมารวมกันมากที่สุด ล้อไปกับบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทใหญ่และการเจรจาสันติภาพในเมียนมาร์ ที่แม้จะก่อร่างมาเป็นเวลายาวนานแต่ดูจะยังไม่มีกำหนดสิ้นสุด

ส่วนชุดที่สามเป็นภาพการเตรียมงานสวนสนาม และมีบทความที่เกี่ยวกับพระนเรศวร ซึ่งโชคดีที่มีภาพคนที่อยู่บนเสลี่ยงด้วย เราเลยเอามารวมกันดู 

ภาพชุดที่สี่ ด้วยความที่เราคิดว่ามันเป็นมีเดียอันหนึ่งที่สามารถพาชุดความรู้หรือชุดภาพความเป็นรัฐฉานออกไปสู่ภายนอก ภาพส่วนนี้เลยเป็นภาพมิกซ์ที่เริ่มตั้งแต่พี่เบิ้ล (นนทวัฒน์ผู้กำกับฯ) เอาหนังไปฉายในค่ายทหารในเทศกาลหนังชุมชนไทใหญ่ต่างๆ ก่อนที่จะมาขมวดในส่วนสุดท้ายของเล่มที่ก็เหมือน end credit คือตัวละครจะกลับเข้ามาใหม่ และมันก็สอดคล้องกับบทความอีกชิ้นที่ว่าฉันจะกลับมาอีกครั้ง

นอกจากเส้นเรื่องใหม่ภายในหนังสือ ที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าสอดคล้องและรับไปกับเนื้อหาและภาพถ่าย ในส่วนของการออกแบบรูปเล่มก็ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดตั้งแต่หน้าปกยันสันหนังสือ ที่ต้องการสะท้อนถึงคอนเซ็ปต์ของความพร่าเลือนไร้ตัวตน และพรมแดนอย่างแท้จริง

หน้าปกสีเทาที่ดูเรียบเกือบจะมองไม่เห็นอะไร คือประตูบานแรกที่รอการเปิดเข้าไปเยือน คุณจะสัมผัสถึงความขรุขระของพื้นผิวตั้งแต่แรกจับ แต่อาจยังไม่แน่ใจนัก จนเมื่อเปิดไปพบกับภาพผนังดินสีน้ำตาลแดง

ณัฐพลผู้ออกแบบหนังสือบอกว่าเราเห็นสิ่งนี้อยู่แต่ทำไมมันเหมือนไม่เห็น ก็เลยคุยกันว่าทำอย่างไรให้ความหมายของการมีหรือการไม่มีอยู่มันชัดขึ้นโดยที่ไม่ได้แสดงตัวตนออกมาเด่นขนาดนั้น ผมเลยคิดถึงอะไรที่มันลอยๆ หรือเลือนราง หรือสัมผัสแล้วค่อยรู้สึกถึงมัน เลยลองค้น visual ดูว่าอะไรจะตอบสิ่งนี้ได้บ้าง จนไปเจอเทคนิค spot ทราย ซึ่งมันมีผิวสัมผัสเหมือนดินเหมือนทราย และมันเหมือนจะเลือนรางมองไม่ค่อยเห็น ตอนแรกตั้งใจให้ไม่เห็นอะไรเลย จนกว่าจะจับหรือสัมผัสแล้วจะรู้ว่ามีอะไรเหมือนดินเหมือนทรายอยู่ที่หน้าปก หรือต้องส่องแสงดูจะเห็นว่ามันเป็นรูปพื้นที่นี่นา ซึ่งพอเราจับไปเรื่อยๆ พื้นดินตรงนั้นก็จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันต้องถูกกระทำแล้วมันจะชัดขึ้น

ณัฐพลเป็นผู้ออกแบบโปสเตอร์หนังดินไร้แดนมาก่อนหน้า เล่าต่อถึงการออกแบบหน้าปกสีเทาหุ้มห่อตัวเล่มที่ตั้งใจไว้ให้ขยายถึงความมีและไม่มีตัวตนจากภาพยนตร์ หรืออย่างการใช้สัญลักษณ์ |       | ที่สื่อถึงช่องว่างระหว่างเมียนมาร์ รัฐฉาน และไทย ซึ่งสัมพันธ์ไปกับการออกแบบเลขหน้าภายในเล่มที่วางอยู่ตรงกลางคนละฝั่งกัน หรือสันปกที่ใช้วิธีการเย็บกี่เปลือยสัน มาจากสารในภาพยนตร์ที่พูดถึงเหล่าตัวละครนั้นอยู่ตามขอบชายแดน จะข้ามไปไทยก็ไม่ได้ ไปพม่าก็ลำบาก แม้เส้นด้ายที่ใช้เย็บสันปกก็มีสีเทาเชื่อมโยงกับตัวหนังที่สื่อถึงความพร่าเลือน ส่วนสีน้ำตาลนั้นก็คือดิน

หากพลิกเปิดหนังสือภาพเล่มนี้ไปเรื่อยๆ คุณอาจจับสังเกตเห็นความแปลกตาของการวางจัดวางภาพ ที่มักจะมีการวางภาพตามขอบตามมุม ขนาดของภาพเล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือการตัดผ่าภาพที่ผิดตาไปจากหนังสือภาพทั่วไป วิทิตอธิบายถึงแนวคิดนี้ว่า

 

โครงสร้างของหนังสือเราคือพื้นที่ ดังนั้นภาพจึงเหมือนเป็นประชากรที่ใช้พื้นที่ บางภาพใหญ่เล็กก็คือความสำคัญ ความชัดเจน ความพร่าเลือน คอมโพสิชั่นก็เป็นทั้งการตกขอบ นอกขอบ การผ่ากลาง ตัดกลาง เหมือนว่ารัฐชาติแบ่งแยกไม่ได้ แต่ในหนังสือเราอยากแบ่ง แยก กระจัดกระจาย ไปตามส่วนต่างๆ ของพื้นที่ในเล่ม

หรือการวางภาพรัฐธรรมนูญเมียนมาร์ไว้กลางหน้า ณัฐพลเสริมว่าจากข้อมูลที่ผมฟังจากพี่เบิ้ลผู้กำกับฯ  รัฐธรรมนูญเป็นตัวทำให้เกิดปัญหาทั้งหมด ถ้าเราวางเลย์เอาต์แบบปกติก็จะไม่มีใครสังเกต ผมเลยตัดสินใจวางภาพนี้ไวตรงกลางเลย ดีไซเนอร์ทั่วไปจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ค่อยมีใครวางภาพตรงกลาง ผมเลยตั้งใจวางให้มันเหมือนกับเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง

หากพลิกชมภาพและอ่านจนจบถึงหน้าสุดท้ายที่ไร้ปกห่อหุ้ม เราจะพบกับภาพสุดท้ายที่ปกหลัง ซึ่งณัฐพลบอกว่าอิริยาบถคือส่องไฟหาอยู่ แล้วเรื่องของไทใหญ่ เรื่องของรัฐฉานมันเหมือนเป็นเรื่องที่เรามาเจอ มันเหมือนเป็นเรื่องเล็กแต่จริงๆ มันก็เรื่องใหญ่ ผมอยากวางมันเป็นท่อนเซอร์ไพรส์ เปิดมาแล้วเจอว่าเอ้า มีคนอยู่ตรงนี้ด้วย

*ภาพขวามือถ่ายโดยรัศมิ์ลภัส กวีวัจน์ 

นอกจากรายละเอียดการจัดวางภาพข้างต้น สังเกตได้ว่าโทนสีของภาพจะเข้มจนบางภาพก็ไม่ชัดเจนนัก จะมองเห็นได้เฉพาะบางส่วนที่แสงในภาพส่องถึง ทำให้รู้สึกว่ามันเหมือนกับชีวิตของพวกเขาชาวไทใหญ่ที่อวลไปด้วยความพร่าเลือน ท่ามกลางความมี ไม่มี ชัด ไม่ชัด เราได้รับอนุญาตให้มองเห็นหรือรู้จักเพียงแค่บางส่วน เช่นเดียวกันกับได้รับอนุญาตให้ได้ยินแค่เสียงเพียงบางเสียง

ภาพถ่ายโดยรัศมิ์ลภัส กวีวัจน์ 

ในโลกนอกพื้นที่หนังสือภาพ ‘in process of time | เมื่อหันมองย้อนไป | Soil Without Land’  หากดินแบ่งได้แยกได้ จนมีแดนเป็นของตัวเอง และหากสันติภาพเกิดขึ้นจริง ตัวตนของผู้คนในดินแดนแห่งนั้นนั้นจะชัดเจนขึ้นไหม? เสียงของพวกเขาจะมีคนได้ยินหรือไม่? ทั้งหมดยังเป็นคำถามที่ต้องรอคำตอบกันอีกนานแค่ไหนไม่มีใครล่วงรู้

Fact Box

  • หนังสือภาพ ‘in process of time | เมื่อหันมองย้อนไป | Soil Without Land’ ขนาด 15x22 ซม. จำนวน 288 หน้า ราคา 750 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Vacilando Bookshop https://www.instagram.com/vacilandobookshop และ daily delay
Tags: , ,