หนังเกี่ยวกับอะไร

‘เซบาสเตียน’ (ไรอัน กอสลิง) หนุ่มนักเปียโนที่ใฝ่ฝันจะพลิกฟื้นดนตรีแจ๊ซให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาบังเอิญได้รู้จัก ‘มีอา’ (เอ็มมา สโตน) สาวสวยที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มพูดคุยและผลักดันความฝันของกันและกัน

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

สื่อหลายแห่งยกหนังเรื่องนี้ให้เป็นเต็งหนึ่งรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคำวิจารณ์ก็ออกมาดีมากๆ ได้คะแนน metacritic เฉลี่ยสูงถึง 91/100

 

สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

1. การจับคู่ระหว่าง ไรอัน กอสลิง และ เอ็มมา สโตน ทำให้ได้คู่พระนางที่สมบูรณ์แบบ ตัวบทไม่ได้ส่งความสวีตหวานได้เท่ากับโชว์เพลงสุดโรแมนติกของทั้งคู่ ไล่ตั้งแต่ A Lovely Night ที่ยังดูเป็น ‘คู่ซึน’ (ซึน มาจากคำว่า ซึนเดเระ ใช้เรียกคนที่ไม่ชอบพูดตรงๆ เสแสร้ง ชอบเก็บอาการ หรือเรียกโดยสรุปคือ ปากไม่ตรงกับใจ) จิกกัดกันตลกๆ จนธีม Planetarium ดังขึ้นนี่ฟินมาตั้งแต่โรงหนังยันหอดูดาว ยกให้เป็นฉากจูบที่หวานที่สุดฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์ได้เลย และ City of Stars คือโมเมนต์ที่ไม่คิดว่าจะมีใครลงตัวไปกว่าไรอันกับเอ็มม่าอีกแล้ว

2. ชอบบทหนังในแง่การสร้างตัวละครให้เป็นคนช่างฝัน แต่ความฝันนั้นยังอยู่บนโลกความเป็นจริง ซึ่งทำให้เราจูนติดกับการมองโลกแบบมีความหวังโดยยังคงย้อนสำรวจตัวเองอยู่ตลอด นอกเหนือจากความโรแมนติกสวีตหวานของพระนางที่หนังทำได้ดีแล้ว ต้องชมการใช้ทัศนคติของฝ่ายหนึ่งเป็นอิทธิพลส่งต่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายหนึ่ง

การมองโลกแบบช่างฝันเกินจริงของเซบาสเตียนจึงถูกมีอาดึงให้ลอยต่ำลงมาอยู่ตลอด และการมองโลกอย่างอับจนหนทางของมีอาก็ถูกความช่างฝันของเซบาสเตียนผลักดันให้เธอทะเยอทะยานได้อีกครั้ง ซึ่งหนังไม่ได้มีดีแค่นี้ แต่ยังมีตอนจบที่เหนือชั้นในระดับที่เราต้องอึ้ง เพราะผู้กำกับฉลาดมากๆ ในการเล่าเรื่องให้จบอย่างน่าจดจำ

3. ชอบการเอาคาแรกเตอร์ช่วงหลังๆ ของไรอัน กอสลิงมาใช้ เห็นชัดเลยว่าเขาเอาแอ็กติ้งจาก The Nice Guys มาใส่ในหนังเยอะมาก และมันเวิร์กมากด้วย ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่ากอสลิงสามารถเป็นนักแสดงตลกได้สบายๆ ในมาดหล่อเท่แบบนี้แหละ ไม่เชื่อดู Crazy, Stupid, Love. กับ The Big Short ได้เลย มุกของกอสลิงคือพีกทุกมุก เล่นอะไรคนก็ขำ ไม่คิดว่าคนแบบกอสลิงจะมาเล่นอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ มันจึงมีความตลกในความที่เราคาดไม่ถึง

4. งานเทคนิคโชว์เพลงที่ยอดเยี่ยม สำหรับ La La Land ดูจะเป็นความร่วมสมัยมากกว่าในการโชว์ชั้นเชิงการกำกับภาพ ใส่ลูกเล่นการเคลื่อนกล้องถ่าย long take ปล่อยของงานเทคนิคโดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่ปิดทางหลวงคือตัวอย่างเด่นชัดที่งานโชว์เทคนิคเด่นจนกลบโชว์ร้องเต้นของนักแสดงทั้งหลาย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่างานเทคนิคการถ่ายโชว์เพลงแต่ละฉากทำเอาเราติดสตั๊น เพราะทึ่งในความเจ๋งของการออกแบบฉากให้มีสไตล์โดดเด่นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสงสีสวยงาม การเคลื่อนกล้องจนเพลงดูมีชีวิตชีวาทวีคูณ การกำกับภาพฉากหอดูดาวช่วยเพิ่มเคมีพระนางโรแมนติกทำเอาฟินตายไปข้าง

5. เพลงเพราะโดนใจและผสานเข้ากับเนื้อเรื่องอย่างลงตัว ทันทีที่ดูจบแล้วได้ฟังเพลงประกอบ ภาพในหนังก็ลอยมาเป็นฉากๆ เลย เพลงยังคงติดหู เนื้อเรื่องยังคงตรึงใจเรา แม้ว่าเพลงอาจจะมีจำนวนน้อย แต่รับรองว่าเปรี้ยงทุกเพลง ไล่ตั้งแต่ Another Day of Sun, Someone in the Crowd, City of Stars ‘นครดารา’ ที่กลายเป็นชื่อไทยของหนัง และยังมีธีมของมีอากับเซบาสเตียนที่กอสลิงเล่นเปียโนได้ไพเราะเหลือเกิน

6. งานเครื่องแต่งกายโดยเฉพาะชุดเดรสสีสันสดใสของเอ็มมา สโตน ที่ดึงเสน่ห์สีสันลูกกวาดของ The Umbrellas of Cherbourg มาทำใหม่เป็นสไตล์วินเทจ เช่นเดียวกับชุดการสวมสูททับเชิ้ตสุดเนี้ยบของไรอัน กอสลิง

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง

ไม่มีอะไรจะตำหนิ La La Land

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

เราสนับสนุนให้ทุกคนมีความฝัน แต่ความฝันนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง สมมติคุณอยากเปิดไนต์คลับแบบเซบาสเตียน แต่คุณไม่มีเงิน สิ่งที่คุณควรทำคือหางานเพื่อให้มีรายได้ ถึงแม้ว่างานนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่คุณชื่นชอบสักเท่าไหร่ โลกใบนี้มันมีความโหดร้ายเสมอแหละ ไม่มีอะไรจะได้ดั่งใจเราเสมอไป บางครั้งเราก็ต้องยอมฝืนทนแลกกับการจะได้ทำตามความฝันในสักวันหนึ่ง

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

1. แรกเริ่มเดิมทีบทพระนางเรื่องนี้คือ ไมล์ส เทลเลอร์ และเอ็มมา วัตสัน (มีข่าวลือว่าเทลเลอร์ถูกถอดจากบทนำหลังจากกระแส Fantastic Four เละไม่เป็นท่า ส่วนวัตสันนั้นถอนตัวเพราะติดคิวซ้อนกับกองถ่าย Beauty and the Beast)

2. ไรอัน กอสลิง และเอ็มมา สโตนแสดงร่วมกันเป็นครั้งที่ 3 ต่อจาก Crazy, Stupid, Love. และ Gangster Squad (และทั้งคู่เคยถูกกำหนดให้แสดง Focus ด้วยกัน ก่อนที่บทจะตกเป็นของวิล สมิธ และมาร์โก ร็อบบี)

3. La La Land เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงที่สุดในปี 2016 โดยทำรายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงถึง 171,000 เหรียญ จากการเปิดฉายจำกัดโรงในนิวยอร์ก และลอสแอนเจลิส

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

ใครชอบหนังโรแมนติกดราม่ามีอารมณ์ขันไม่ควรพลาด หรือแม้แต่คอหนังรางวัลทั้งหลายจดชื่อเป็นหนังบังคับดูได้เลย

ที่สำคัญคนรักมิวสิคัล โดยเฉพาะถ้าผ่านงานคลาสสิกดังๆ ในอดีตต้องไม่พลาดเด็ดขาด (โดยเฉพาะตระกูล Singin’ in the Rain, The Umbrellas of Cherbourg, An American in Paris, Top Hat และ Swing Time)

ควรชวนใครไปดู

ใจจริงอยากบอกว่าเจอหน้าใครก็ชวนไปดูเถอะ หนังดีๆ แบบนี้ แต่ขอถือโอกาสนี้ใช้ La La Land เป็นหนังทำลายกำแพงคนไม่ชอบมิวสิคัลละกัน โดยส่วนตัวเรามีความเบื่อโชว์เพลงสมัยก่อนที่เน้นความอลังการและการร้องเต้นมากเกินไป หลายครั้งมันก็โดดจากเนื้อเรื่องออกมา ซึ่งเข้าใจว่าเป็นจุดที่ทำให้หลายคนไม่ปลื้มมิวสิคัลสักเท่าไหร่

เลยขอแนะนำให้ชวนคนที่ไม่ชอบมิวสิคัลไปลองดู La La Land สักครั้ง หนังมีโชว์เพลงไม่มากและฉากหนึ่งก็ไม่ได้ยาวยืด ที่น่าสนใจคือบทเพลงสามารถผสานกับบทหนังได้ลงตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้ดูแล้วไหลลื่นไม่รู้สึกสะดุด คอนเฟิร์มว่าการใช้โชว์ร้องเต้นแตกต่างจากมิวสิคัลที่ผ่านๆ มา แต่จะถึงขั้นทำลายกำแพงได้ไหม อันนี้อยากให้ไปพิสูจน์กันเอง

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

รอบ sneak preview เริ่มฉายวันที่ 29 ธันวาคมนี้ ค่าตั๋วค่าเดินทางเท่าไหร่จ่ายๆ ไปเลยเพื่อการได้ดู La La Land รอบแรกๆ ในเมืองไทย การันตีว่าเป็นมิวสิคัลที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้คุณประทับใจอย่างแน่นอน

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

ออส การ์ แน่

Tags: , ,