เราต่างใช้ชีวิตอยู่กับฝุ่นละออง PM 2.5 มานานหลายฤดูกาล กระทั่งล่าสุดที่สถานการณ์รายวันในกรุงเทพฯ ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีมาตรการอะไรจริงจังนอกจากฉีดน้ำและขอความร่วมมือเล็กๆ น้อยๆ จนน่าสงสัยว่าผู้ที่ทำงานรับผิดชอบแก้ไขปัญหาได้ลองเดินตามท้องถนนกรุงเทพฯ บ้างหรือยัง หรือยอมปล่อยให้ลูกหลานเด็กเล็กออกมาเล่นกลางแจ้งบ้างไหม
เมื่อดูไม่มีหวังเท่าไร ประชาชนอย่างเราๆ ก็คงต้องหาทางพึ่งตนเองไว้ก่อน
นอกจากหน้ากากอนามัยแบบ N95 ที่เราเพิ่งทำความเข้าใจได้ไม่นานว่ามันต่างจากหน้ากากอนามัยอย่างบางที่คุ้นเคยอย่างไร แต่แค่ซื้อเป็นของฝากจากต่างประเทศก็เสี่ยงถูกยึดได้อีกเพราะก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเครื่องมือทางการแพทย์
มาตอนนี้ คนไทยคงต้องมีข้อมูลเรื่องเครื่องฟอกอากาศเพิ่มขึ้น เพราะถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์จำเป็นซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการจนแทบจะขาดตลาดไปแล้วแม้จะมีราคาสูงกว่าหน้ากากอนามัยเกือบร้อยเท่าก็ตาม ล่าสุดเพิ่งมีข่าวว่าเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อดังที่คนแนะนำกันมากว่ารับมือกับฝุ่น PM2.5 ได้ แม้มาล็อตใหม่ 100 เครื่อง แต่ขายหมดทันทีภายใน 1 นาทีเท่านั้น
แล้วถ้าจะต้องลงทุนอย่างน้อย 3 – 4,000 บาทขึ้นหรืออาจเข้าขั้นหลักหลายหมื่น เพื่อจะหาเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดี เราน่าจะต้องมีหลักเกณฑ์ในใจคร่าวๆ ว่า ควรจะดูอะไรบ้างก่อนตัดสินใจซื้อสักเครื่อง
1.พื้นที่ใช้งาน
เราต้องดูก่อนว่า ห้องที่เราจะไปวางเครื่องฟอกอากาศนี้มีขนาดกี่ตารางเมตร เพราะกำลังการทำงานของเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นถูกออกแบบตามขนาดพื้นที่ใช้งานจำกัด เหมือนกับเครื่องปรับอากาศ ห้องใหญ่ก็ต้องใช้เครื่องที่มีบีทียูสูงๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้มีผลกับราคาด้วย เช่น ในรุ่นเดียวกันเครื่องสำหรับพื้นที่ 22 ตารางเมตร ก็ย่อมราคาถูกกว่าที่ใช้กับพื้นที่ 42 ตารางเมตร
2. ชนิดของแผ่นกรองอากาศ
เครื่องกรองอากาศมักมีคำโฆษณาหลากหลาย บ้างบอกว่าป้องกันการแก้แพ้อากาศ บ้างบอกว่าป้องกันฝุ่นจิ๋ว บ้างบอกช่วยแก้ปัญหากลิ่น บางรุ่นสามารถกรองก๊าซพิษต่างๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่มาจากบุหรี่
ซึ่งประเภทของ ‘แผ่นกรองอากาศ’ คือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลย เพราะแผ่นกรองแต่ละแบบก็กรองฝุ่นได้ไม่เท่ากัน
คำที่จะพบเห็นบ่อยในกระแสกังวลฝุ่น PM2.5 คือ แผ่นกรองอากาศเฮปา – HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter) ที่กำลังเป็นที่นิยมเพราะถือว่าเป็นตัวกรองที่สามารถกำจัดฝุ่นละอองได้ถึงขนาด 0.3 ไมครอน
3. ราคาของ ‘แผ่นกรองอากาศ’
แน่ล่ะว่าเรามักดูที่ราคาของเครื่องกรองอากาศก่อน แต่อีกปัจจัยที่ต้องนำมาคำนวณคือ แล้วราคาของแผ่นกรองที่ต้องใช้กับรุ่นนั้นๆ มันราคาเท่าไร และต้องเปลี่ยนถี่แค่ไหน ส่วนใหญ่มักให้เปลี่ยนที่ทุกๆ 6 – 12 เดือน ซึ่งแผ่นกรองต่างประเภท ต่างความหนา ก็มีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน บางครั้งเครื่องกรองราคาไม่แพง แต่หากแผ่นกรองเป็นแบบบางๆ ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ แถมยังราคาแพง นั่นอาจหมายถึงค่าใช้จ่ายที่จะงอกเพิ่มขึ้นในอนาคต
4. CADR + Airflow บอกพลังลมสะอาด
ค่า CADR หรือ Clean Air Delivery Rate เป็นค่าที่บอกว่าเครื่องฟอกอากาศนี้สร้างปริมาณอากาศบริสุทธิ์ได้เท่าไรใน 1 นาที ถ้าตัวเลขนี้เยอะก็แปลว่ามันมีประสิทธิภาพการฟอกอากาศได้ดี เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ควรดูเปรียบเทียบกัน
ส่วนค่า Airflow ใช้วัดความเร็วในการฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ยิ่งสูงก็หมายความว่าใช้เวลากรองอากาศออกมาได้เร็วนั่นเอง
5. ขนาด การออกแบบ และน้ำหนัก
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งความสวยงามและความสะดวกในการใช้งาน นอกจากเลือกเครื่องที่การออกแบบ สี วัสดุ ให้ถูกใจและเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านแล้ว อาจต้องคิดด้วยว่า อยากจะซื้อไปวางไว้มุมไหนของบ้าน และจะตั้งเครื่องอยู่กับที่โดยเฉพาะ หรืออยากให้หยิบยกเคลื่อนย้ายสะดวก ซึ่งสำหรับกรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายเครื่องฟอกอากาศไปพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของบ้านด้วย อาจจะต้องเลือกแบบน้ำหนักไม่มาก เคลื่อนย้ายง่าย
6. เสียงดังแค่ไหน
อย่าลืมดูคุณสมบัติของเครื่องว่า ขณะที่เปิดใช้งานแรงสุด เครื่องฟอกอากาศนั้นๆ จะส่งเสียงหึ่มๆ ออกมาดังขนาดไหน รบกวนการนอนหลับพักผ่อนของเราหรือไม่หากจะเปิดในเวลากลางคืน สำหรับคนที่นอนหลับยากก็ควรพิจารณาปัจจัยนี้เป็นสำคัญ
7. ฟังก์ชั่นพิเศษ
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคนใช้งานว่าต้องการฟังก์ชั่นพิเศษอะไรไหม นอกจากการฟอกอากาศ เช่น การตั้งเวลาเปิดปิดอัตโนมัติ ระบบสั่งการด้วยรีโมทหรือแอปพลิเคชั่นบนมือถือ บางคนอาจสนใจรุ่นที่มีตัววัดฝุ่นบอกตัวเลขไปในตัว บางรุ่นถึงขั้นมีระบบวัดฝุ่นที่จะสามารถสั่งให้เครื่องทำงานเองโดยอัตโนมัติได้ด้วย
8. กรองอากาศ พร้อมกับรักษาระดับความชื้น
เพื่อให้คนรู้สึกอยู่สบายมากขึ้น เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นจึงมีตัวเพิ่มความชื้นในอากาศด้วยเพื่อไม่ให้อากาศแห้งเกินไป
9. กินไฟรึเปล่า
เครื่องทุกรุ่นมักบอกกำลังวัตต์ให้เห็นว่า เครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นๆ มีอัตราการกินไฟเท่าไร ยิ่งวัตต์สูงก็จะยิ่งกินไฟ แต่อย่างไรก็ตาม วัตต์สูงก็ไม่ได้แปลว่าจะพลังแรงกว่าเสมอไป
10. มีรับประกันไหม
อย่าลืมดูด้วยว่า เครื่องนั้นให้ระยะเวลาของการรับประกันที่นานเท่าไร และต้องพิจารณาความยากง่ายของการหาอะไหล่ด้วย ซึ่งการเลือกยี่ห้อที่นิยมในไทยหรือมีศูนย์บริการในประเทศเยอะ ก็ช่วยให้อุ่นใจได้ในยามที่เครื่องมีปัญหา
เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นและยี่ห้อก็อาจจะมีฟังก์ชั่นอื่นๆ มากกว่านี้ สิ่งสำคัญก่อนการตัดสินใจซื้อก็คือ ต้องรู้ความต้องการของตัวเองให้แน่ชัดสักหน่อย เพื่อให้คุ้มค่าและพอใจกับเงินที่จ่ายไป
Tags: PM 2.5, เครื่องฟอกอากาศ, PM2.5, ฝุ่น, แผ่นกรองอากาศ, ไส้กรอง