โปรแกรมเที่ยวในตุรกีที่บรรดาไกด์บุ๊คและมิตรสหายนักเที่ยวต่างก็แนะนำว่าห้ามพลาด นอกเหนือจากการล่องเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส (Bosporus Strait) สำรวจมัสยิด โบสถ์ วัง และมิวเซียม เพลิดเพลินกับบรรดาแมวในอิสตันบูล ก็คือการล่องลอยไปบนฟ้าเพื่อมองดูภูมิประเทศสุดตระการตาของตุรกี รวมถึงเดินทางไปยังปราสาทปุยฝ้ายอันสุดแสนมหัศจรรย์
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมหลงไปอยู่ในเทพนิยายที่ไหน เพราะมันคือการขึ้นบอลลูนที่แคว้นแคปปาโดเกีย (Cappadocia) และขับรถไปปามุคคาเล (Pamukkale) ที่ซึ่งตะกอนแร่ธาตุก่อตัวเป็นภูเขาสีขาวราวกับปุยฝ้าย คนที่เคยไปมาแล้วล้วนบอกว่าทั้งสองแห่งถือเป็นไฮไลต์ของทริปที่ไม่ควรพลาด
จริงอยู่ที่ว่า เราสามารถนั่งบอลลูนชมวิวได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงตุรกี เช่น พุกาม นครวัด ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เชียงใหม่ แต่สาเหตุที่เราควรไปแคว้นแคปปาโดเกีย เพราะที่นั่นถือเป็นหนึ่งในจุดนั่งบอลลูนที่ดีที่สุดในโลก (จากการจัดอันดับของหลายสำนัก) เนื่องจากภูมิประเทศสุดแปลกตา ประกอบด้วยภูเขารูปร่างประหลาดที่ผุดขึ้นมานับพัน (เกิดจากลาวาภูเขาไฟเมื่อล้านปีที่แล้วเย็นตัวลง แล้วกัดกร่อนจากแดดลมฝน) ท่ามกลางที่ราบเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นภาพที่ไม่อาจเห็นได้ง่ายๆ ในประเทศอื่น
แม้จะฟังดูยั่วน้ำลายขนาดนี้ แต่ผมก็ยังลังเลที่จะขึ้นบอลลูนอยู่ ด้วยเหตุผลสองข้อ หนึ่ง คือเรื่องความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการขึ้นบอลลูนเลย (ชีวิตนี้ยังข้องเกี่ยวกับน้องบอลลูน – เน็ตไอดอลชื่อดังมากกว่าเสียอีก เนื่องจากชอบดูรูปเธอบ่อยๆ) เพราะไม่ชอบความสูงและกลัวบอลลูนตก ดังที่เคยเกิดเหตุหลายครั้งที่บอลลูนตกจนมีผู้เสียชีวิต และสอง คือ ค่าใช้จ่ายที่แพงใช่ย่อย นั่นคือ ประมาณ 3,000 – 7,000 บาทต่อคน ต่อการนั่ง 60 – 90 นาที ราคาก็ขึ้นอยู่กับบริษัททัวร์ที่เลือก ลักษณะแพ็คเกจว่าเป็นแบบส่วนตัวหรือธรรมดา และช่วงเวลาว่าเป็นไฮซีซั่นหรือไม่ ซึ่งนั่นทำให้แผนการเที่ยวแบบโลว์คอสของเราพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง แต่สุดท้ายเราก็ตกลงไป เพราะไม่อยากพลาดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่ช้าก่อน! แม้กายพร้อม – ใจพร้อม – เงินพร้อม ก็ใช่ว่าจะได้ขึ้นบอลลูนเสมอไป เพราะถ้าสภาพลมฟ้าอากาศไม่เป็นใจ เช่น ลมแรง หิมะตก หมอกลง มีพายุฝน ทางผู้จัดก็จะยกเลิกทัวร์และคืนเงิน ความเสี่ยงนั้นมีสูงในระดับที่บางคนมารอที่เมืองนี้ 4 – 5 วันก็ยังไม่ได้ขึ้นบอลลูน ซึ่งโอกาสพลาดก็สูงมาก เพราะเราไปช่วงธันวาคมที่อุณหภูมิเกือบติดลบและมีโอกาสที่หิมะจะตกสูง เรียกได้ว่า จะได้ขึ้นบอลลูนหรือไม่ก็วัดดวงกัน
ขึ้นบอลลูน สู่ดินแดนเทพนิยาย
หลังจากอยู่บนเครื่องบินนานกว่า 10 ชั่วโมง ในที่สุด ผมและเพื่อนร่วมทริปอีกสามคนก็เดินทางมาถึงเมืองอิสตันบูล ยังไม่ทันจะได้ออกไปสำรวจนอกสนามบิน พวกเราก็นั่งเครื่องบินไปที่เมืองเนฟเสฮีร์ (Nevsehir) ต่อทันที จากนั้นนั่งรถตู้อีกครึ่งชั่วโมงเพื่อไปเมืองเกอเรเม (Göreme) เมืองยอดนิยมสำหรับขึ้นบอลลูนในแคว้นแคปปาโดเกีย
แม้ตอนที่เรามาถึงจะเป็นเวลากลางคืนที่อุณหภูมิหนาวเกือบติดลบ แถมพวกเรายังอ่อนเพลียจากการเดินทางแบบสุดๆ แต่เรากลับไม่ยอมเข้าไปนอนง่ายๆ เนื่องจากต้องการเดินดูความสวยงามของตัวเมืองในยามค่ำคืนซึ่งสิ่งที่ชวนให้สะดุดตาคือบ้านและโรงแรมที่สร้างอยู่ในถ้ำหินมากมาย ให้ความรู้สึกเหมือนกับการใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ถ้ำ
รถตู้ของบริษัททัวร์มารับเราตั้งแต่เช้ามืด (เป็นเวลาที่เหมาะกับการขึ้นบอลลูน เพราะอากาศไม่ร้อนและลมยังไม่แรง) จากนั้นจึงพาเราไปที่ลานปล่อยบอลลูน ซึ่งทยอยจุดไฟและลอยขึ้นบนฟ้าทีละลูก เห็นแล้วก็อุ่นใจว่า วันนี้น่าจะได้ขึ้นบอลลูนแน่ๆ (ขอขอบคุณแต้มบุญทั้งหมดที่สะสมไว้มา ณ ที่นี้) ทีมงานมีอาหารเช้ากับกาแฟเตรียมให้ แต่ผมกินไปนิดเดียวเพราะกลัวจะเมาบอลลูนจนอ้วกออกมา ภาพของอ้วกที่ลอยจากความสูง 1,000 เมตรลงสู่พื้นเบื้องล่างคงไม่น่าดูสักเท่าไร
ในตะกร้าบอลลูนมีผู้โดยสารเกือบ 20 คน ทั้งที่มาจากโคลอมเบีย เยอรมัน มาเลเซีย เกาหลี ทีมงานคนหนึ่งแนะนำตัวเองว่าเป็นกัปตัน และสอนวิธีปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัย หลังอธิบายเสร็จ ไฟก็ถูกจุดขึ้นเสียงดังฟู่ๆ บอลลูนค่อยๆ ลอยสู่ฟ้า ผู้โดยสารแต่ละคนแสดงท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด (คงจะมาขึ้นบอลลูนกันเป็นครั้งแรกกันทั้งนั้น) ส่วนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณปู่ตัวเอกในหนังเรื่อง Up ที่กำลังลอยขึ้นบนฟ้า มุ่งหน้าสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต (เขียนเสียเวอร์เลย มึงแค่นั่งบอลลูนชั่วโมงเดียว)
เรามองเห็นท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีจากมืดมิดเป็นสีส้ม มองเห็นภูมิประเทศที่สวยสมคำร่ำลือ จุดที่โด่งดังคือ Fairy Chimney และ Love Valley เรามองเห็นคน – บ้าน – รถกลายเป็นจุดเล็กๆ มองเห็นบอลลูนลอยอยู่เคียงข้างเกือบ 40 ลูกราวกับอยู่ในหนังแฟนตาซี นักท่องเที่ยวล้วนหยิบกล้องกดชัตเตอร์บันทึกภาพกันแบบรัวๆ ในขณะที่ผมแค่เพียงมองนิ่งๆ ไม่ใช่เพราะต้องการเก็บความทรงจำไว้ด้วยตา ไม่ใช่ด้วยกล้องแบบที่หนัง The Secret Life of Walter Mitty บอกไว้ แต่เป็นเพราะลืมหยิบเอาเมมโมรี่กล้องจากโรงแรม (ตายตอนจบจริงๆ)
ลมหนาวข้างบนมีอานุภาพรุนแรงกว่าบนพื้นและตีหน้าเราจนชาไปประมาณชั่วโมงกว่า ในที่สุดกัปตันก็ประกาศว่าบอลลูนกำลังจะลงจอด ให้ทุกคนจับเชือกและทำท่านั่งย่อเข่ายองๆ ค้างไว้เพื่อเตรียมรับการกระแทก แต่นั่งรออยู่นานก็ไม่ได้จอดสักทีเพราะหารันเวย์ลงไม่ได้จนพวกเราแอบคิดว่าพวกเราจะตายจากการโดนตะคริวกินทั้งตัวมากกว่าโดนกระแทกหรือเปล่า
ในที่สุดบอลลูนก็ลงจอดอย่างราบรื่น ทีมงานแจกไปรษณียบัตรความสำเร็จโดยมีชื่อเราและชื่อนักบินอยู่บนนั้น (อะไรจะขนาดนั้น) พร้อมประกาศว่ามีดีวีดีบันทึกภาพเหตุการณ์บนบอลลูนขาย (ดีที่ไม่มีการขายรูปเราแปะบนจานด้วย) และที่ขาดไม่ได้คือการเปิดแชมเปญฉลองซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะในอดีตการนั่งบอลลูนถือเป็นเรื่องอันตรายและมีคนตายเยอะ การที่บอลลูนลงจอดปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่ต้องฉลอง และถึงแม้ปัจจุบัน การขึ้นบอลลูนจะปลอดภัยแล้ว แต่ธรรมเนียมนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป (และไม่รู้ว่านอกจากขับบอลลูนแล้ว พี่ทีมงานเขายังรับจ๊อบเป็น Mixologist ด้วยหรือเปล่าเพราะพี่แกผสมแชมเปญได้อร่อยมากจนเราต้องวนกลับไปกิน 3 –4 แก้ว)
ปราสาทปุยฝ้าย
ลงจากบอลลูนแล้ว เราก็ซื้อทัวร์ One Day Trip เพื่อเที่ยวต่อในเมืองเกอเรเม ตอนค่ำจึงนั่งรถบัสซึ่งใช้เวลา 12 ชั่วโมงเพื่อเดินทางไปยังเมืองอิซมีร์ (Izmir) ซึ่งเราทำเรื่องเช่ารถยนต์เอาไว้
เราเลือกที่จะเช่ารถแล้วขับไปตามเส้นทาง อิซมีร์ – ปามุคคาเล – เอฟฟิซุส – อิซมีร์ เพราะดูข้อมูลแล้วพบว่าถนนเส้นใหญ่สภาพดี ขับง่าย แถมผ่านทะเลอีเจียนซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยงามมาก (ตอนที่ขับ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระเอกโฆษณารถยุโรปเลย) นอกจากนั้น เมืองดังกล่าวซึ่งอยู่ใกล้กับกรีซ ยังมีสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือนสไตล์ยุโรปที่โดดเด่นสวยงาม เหมาะแก่การจอดแวะถ่ายรูปเป็นพักๆ
การเช่ารถขับในตุรกีไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยความที่มี่บริษัทเช่ารถให้เลือกมากมาย ราคาเช่าไม่ถึง 1,000 บาท/วัน หลักฐานใช้เพียงแค่ใบขับขี่สากล รถตุรกีขับเลนขวาโดยที่นั่งคนขับอยู่ฝั่งซ้าย (แต่สิ่งที่ชวนให้ปวดใจก็คือน้ำมันลิตรละ 85 บาทซึ่งเห็นแล้วแทบเข่าทรุด)
จากอิซมีร์ไปปามุคคาเลใช้เวลาขับรถประมาณสามชั่วโมง เราสังเกตว่าถนนและบ้านเมืองสองข้างทางดูเจริญแม้จะอยู่ห่างเมืองหลวงมาไกล ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนชาวตุรกีที่บอกว่า ตุรกีมีการกระจายความเจริญไปที่เมืองต่างๆ เป็นอย่างดี แม้บ้านเขาจะอยู่ไกลจากเมืองหลัก แต่ก็มีการพัฒนาความเจริญต่างๆ เช่น ถนนหนทาง ขนส่งมวลชน ตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ ก็เจริญและดูดีไม่น้อยหน้าเมืองอื่นๆ รวมถึงมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม คนตุรกีจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ที่สุดแสนแออัด ฟังจบแล้วก็ถอนหายใจสองเฮือกด้วยความอิจฉา
หลังจากจีพีเอสพาเราหลงทางไปพักใหญ่ ในที่สุดเราก็ขับรถมาถึงปามุคคาเล ที่แปลว่าปราสาทปุยฝ้าย แม้มองไกลๆ จะเหมือนเป็นหิมะปกคลุม แต่ที่จริงแล้ว สีขาวที่เห็นเกิดจากคาร์บอนของน้ำแร่ที่ตกตะกอนและจับตัวกันเป็นชั้น ก่อเกิดเป็นภูเขาหินสีขาวความยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร สูง 160 เมตร ยิ่งบวกกับแอ่งน้ำสีฟ้าสะท้อนแสงบนพื้นสีขาว ก็ยิ่งก่อเกิดเป็นภาพสวยงามแปลกตา
ด้านข้างปามุคคาเลเป็นที่ตั้งของเมืองตากอากาศโบราณของชาวโรมันอย่างเฮียราโปลิส (Hierapolis) ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนจะรกร้างไปในช่วงปี 1400 หลังถูกกองทัพเปอร์เซียรุกราน เมืองนี้ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1887 ปัจจุบันถือเป็นมรดกโลก
ด้านในมีบ่อน้ำแร่ที่เชื่อกันว่ารักษาโรคได้สารพัด มีโรงละคร โรงอาบน้ำ ประตูเมือง หลุมฝังศพชนชั้นสูง ฯลฯ แม้สิ่งก่อสร้างจะเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่ก็ยังเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ในอดีต
สังเกตได้ว่ารอบกายเราเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีนมากมายนับร้อยคนเช่นเดียวกับตอนไปขึ้นบอลลูน ที่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากมายเช่นกัน ทำให้ผมคิดถึงบทความที่เคยอ่านที่บอกว่า นักท่องเที่ยวจีนกลายเป็นกลุ่มที่มีพลังทางเศรษฐกิจอย่างสูง ไม่ใช่แค่ตุรกี แต่รวมถึงอีกหลายประเทศ ไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจเห็นป้ายขายเคบับหรือของที่ระลึกเป็นภาษาจีนในตุรกี แบบที่เห็นในเชียงใหม่ก็ได้
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แม้จะอยากเดินต่อจนถึงเวลาปิดตอนสามทุ่ม แต่ด้วยอากาศที่หนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก ทำให้เราตัดสินใจขับรถกลับไปที่โรงแรม ท่ามกลางความมืดของถนน เราคุยกันว่า ถ้ามีโอกาสเราจะเช่ารถขับในตุรกีกันอีก คราวนี้ขับวนรอบประเทศกันไปเลย
Fact Box
- แคปปาโดเกีย (Cappadocia) แปลว่าดินแดนแห่งม้าที่งดงาม เป็นแคว้นที่อยู่ตอนกลางของตุรกีซึ่งรวมหลายเมืองไว้ด้วยกัน จุดเด่นของที่นี่ นอกจากภูมิประเทศที่แปลกตาแล้ว ยังเป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์ โดยเป็นที่ลี้ภัยของชาวคริสต์ในยุคแรกๆ และเป็นเมืองที่รุ่งเรืองในช่วงคริสตศวรรษที่ 4 – 11 โดยมีการสร้างเมืองใต้ดินขนาดใหญ่และโบสถ์ในถ้ำหินหลายแห่ง หลังจากถูกทิ้งให้รกร้าง โบราณสถานเหล่านี้ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1907 และโด่งดังในฐานะแหล่งท่องเที่ยวตั้งแต่ยุค 80 ปัจจุบันแคว้นนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนเป็นอันดับต้นๆ ของตุรกี
- การเดินทางไปตุรกีไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่า มีหลากหลายสายการบินให้เลือก เช่น Ehihad, Turkish Airlines, Emirates Airlines, Qatar Airways สามารถหาราคาโปรโมชั่นได้ในราคาไปกลับ 18,000 – 20,000 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 - 15 ชั่วโมง
- ทัวร์บอลลูนที่แคปปาโดเกียให้บริการตลอดทั้งปี (งดให้บริการในวันที่สภาพอากาศไม่ดี) มีหลายบริษัทให้เลือกใช้บริการ แต่เนื่องจากการเดินทางมีความเสี่ยง จึงแนะนำว่าไม่ควรเลือกบริษัทที่เน้นราคาถูก แต่ควรเลือกบริษัทที่เชื่อถือได้และมีประสบการณ์ยาวนาน ถ้าเราไม่แน่ใจในเรื่องประสบการณ์ก็สามารถขอดูบัตรอนุญาตขับบอลลูนของกัปตันจากบริษัททัวร์ได้