ปี 1891 เทศกาลแห่งความสุขกำลังมาเยือน ด้วยเหตุนี้ ช่วงวันก่อนคริสต์มาสอีฟ จูเลีย คอนเนอร์ (Julia Conner) จึงอาสาประดับตกแต่งต้นคริสต์มาสในห้องพักโรงแรมของซิลเวีย โครว์ (Sylvia Crowe) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ทั้งสองช่วยกันแขวนเครื่องประดับตามกิ่งก้านและห่อของขวัญ ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสำหรับเพิร์ล (Pearl) ลูกสาววัยแปดขวบของจูเลีย ที่จะตื่นขึ้นมาพบความประหลาดใจในตอนเช้า

ในห้องพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เจ้าของห้องเช่ากำลังตระเตรียมงานสำหรับค่ำคืนนี้เช่นกัน เฮนรี โฮเวิร์ด โฮล์มส์ (Henry Howard Holmes) จัดวางมีด เลื่อย เข็ม ตะขอ และเครื่องเจาะไว้อย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าผืนสีขาว ก่อนนำขวดยาสลบมาวางไว้ใกล้มือ จากนั้นเขารอคอยจูเลีย คอนเนอร์อย่างจดจ่อ จนกระทั่งเธอแล้วเสร็จจากงานตกแต่งต้นคริสต์มาส เดินกลับไปที่ห้องพัก ถึงตอนนั้นเขาก็ล็อกตัวเธอเข้าห้องเชือด

เขาใช้ผ้าโปะยาสลบที่ใบหน้าของเธอ รอจนกระทั่งเธอหมดสติ จากนั้นเขาเทยาสลบลงบนผืนผ้าอีกครั้ง แล้วเดินย่องไปที่ห้องนอนของเพิร์ล ลูกสาวที่กำลังหลับใหลอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น ซิลเวีย โครว์ถามหาเพื่อนสาวของเธอ โฮล์มส์ให้คำตอบว่า สองคนแม่ลูกพากันออกเดินทางจากเมืองไปอย่างกะทันหัน

ชาร์ลส์ แชปเปลล์ (Charles Chappell) ผู้ช่วยของโฮล์มส์ เป็นคนจัดการกับศพในห้องใต้ดิน เขาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลังว่า สภาพศพของคอนเนอร์คล้ายกับกระต่ายที่ถูกถลกหนัง ส่วนซากศพที่เหลือของหนูน้อยเพิร์ลนั้น ตำรวจค้นเจอในอีกหลายปีต่อมาหลังความลับของโฮล์มส์ถูกเปิดเผย และสาธารณชนได้รับรู้ในคราวนั้นเองว่า ฉากหลังโรงแรมของชายผู้มีท่าทีเป็นมิตรนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เมื่อครั้งยังเป็นเด็กในฟาร์มที่รัฐนิวแฮมเชียร์ โฮล์มส์ชอบที่จะจับสัตว์ตัวเล็กๆ มาเชือดเล่นสนุก พ่อแม่ที่เคร่งศาสนาให้กำเนิดลูกชายคนนี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1861 และตั้งชื่อว่า เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเจ็ตต์ (Herman Webster Mudgett) เขาเป็นเด็กดื้อซน เติบโตมาด้วยไม้เรียว วันไหนที่ไม่ถูกขังตัวไว้บนห้องใต้หลังคา มัดเจ็ตต์ก็จะประดิษฐ์สิ่งของ อย่างเช่นเครื่องทำเสียงที่ใช้เปิดไล่ฝูงนกในไร่

แม้จะมีพรสวรรค์ด้านเทคนิค แต่ในปี 1882 ลูกชายชาวไร่ผู้นี้ก็เลือกที่จะเรียนต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ความคลั่งไคล้ในวิชากายวิภาคศาสตร์ช่วยให้เขาผ่านการเรียนจนสำเร็จ แต่เพราะการเป็นหมอในเมืองเล็กๆ ทำให้มีรายได้น้อย เขาจึงหันเหไปเป็นตัวแทนขายหนังสือ รับจ้างเป็นยามในสถานบำบัดผู้ป่วยโรคจิต และยังเคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่พักใหญ่ๆ ปี 1885 เขาตัดสินใจที่จะไปแสวงโชคในเมืองใหญ่อย่างชิคาโก

เมื่อไปถึงเมืองใหญ่ เขาก็แอบอ้างตัวเป็น ดร.เฮนรี โฮเวิร์ด โฮล์มส์ สมัครเข้าทำงานในร้านขายยาของเอเวอเรตต์ โฮลตัน (Everett Holton) ในย่านเองเจิลวูด ความที่เป็นคนแต่งกายดี พูดจาไพเราะ  และให้คำแนะนำอย่างใส่ใจ ทำให้เขาเป็นที่รักใคร่โดยเฉพาะในบรรดาผู้หญิงได้ไม่ยาก หลังจากมิสเตอร์โฮลตันเสียชีวิตจากความป่วยไข้ ภรรยาหม้ายของเขาได้ขายกิจการร้านขายยาให้กับโฮล์มส์ แต่เมื่อมีผู้คนสอบถามถึงภรรยาหม้ายของโฮลตัน เจ้าของร้านขายยาคนใหม่ก็จะให้คำตอบว่า เธอเดินทางไปเยี่ยมญาติที่แคลิฟอร์เนีย

รายได้จากร้านขายยามีจำนวนมากพอที่โฮล์มส์จะใช้สร้างอาคารที่พักบนที่ดินติดกับร้านซึ่งเขาซื้อไว้ แต่การก่อสร้างดูเหมือนจะต้องชะงักบ่อยครั้ง และมีการเปลี่ยนตัวผู้รับเหมาหรือช่างอยู่เรื่อยๆ ไม่มีใครทันสังเกตเกี่ยวกับความไม่ปกติของแปลนที่โฮล์มส์เป็นคนออกแบบเอง อย่างเช่น ห้องไม่มีหน้าต่าง และบันไดที่ก่อขึ้นลอยๆ อีกทั้งยังมีห้องที่ไม่มีช่องระบายอากาศภายในห้องใต้ดิน แต่มีช่องเชื่อมต่อกับท่อแก๊ส และมีกระดานลื่นจากชั้นหนึ่งลงไปที่ห้องใต้ดินซุกซ่อนอยู่ด้วย บริเวณดังกล่าว ช่างต้องขุดเจาะลึกลงไป โฮล์มส์เรียกอาคารสร้างใหม่ของเขาอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ปราสาท’

ความที่เป็นคนแต่งกายดี พูดจาไพเราะ  และให้คำแนะนำอย่างใส่ใจ ทำให้เขาเป็นที่รักใคร่โดยเฉพาะในบรรดาผู้หญิงได้ไม่ยาก

ระหว่างที่กำลังตกแต่งห้องพัก เจ้าของอาคารเริ่มหันเหความสนใจมาที่กิจการร้านที่ชั้นล่าง โฮล์มส์สั่งซื้อคลอโรฟอร์ม (ยาสลบ) เข้าร้านเป็นจำนวนมาก และชี้แจงกับผู้จัดจำหน่ายว่าเขามีลูกค้าที่ต้องการจำนวน 9-10 รายต่อสัปดาห์ แต่ละครั้งที่ซื้อเป็นปริมาณที่มาก ไม่ช้าไม่นานชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง ‘ปราสาท’ ของเขาเริ่มผิดสังเกตกับกลิ่นของสารเคมีที่ส่งกลิ่นออกจากห้องเก็บออกไปทางห้องโถงของอาคาร มีชายสองคนที่มีความเกี่ยวข้องกับโฮล์มส์ ระหว่างการก่อสร้างกระทั่งแล้วเสร็จก็ยังคงวนเวียนอยู่ คนหนึ่งคือแชปเปิล อีกคนคือเบนจามิน พิตเซิล (Benjamin Pitezel) ทั้งสามคนมีอะไรต้องทำร่วมกันอีกมาก

ยิ่งมีผู้เช่าย้ายเข้ามาพักในบ้านมากเท่าไร ก็ยิ่งมีการแจ้งคนหายกับตำรวจชิคาโกมากขึ้นเท่านั้น พ่อแม่ของผู้เช่าบางรายเขียนจดหมายสอบถามโฮล์มส์ว่า ลูกๆ ของพวกเขาหายไปไหน ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครสงสัยเขาว่าเป็นฆาตกร แม้แต่ชาวบ้านในละแวกข้างเคียงเองก็ตาม เพราะการสูญหายของบุคคลในเมืองใหญ่อย่างชิคาโกดูเป็นเรื่องธรรมดา

ไม่ช้าโฮล์มส์ค้นพบวิธีการใหม่ในการหลอกล่อเหยื่อให้เข้ามาพักในอาคารของเขา ปี 1890 มีข่าวน่ายินดีสำหรับชาวเมืองว่า ชิคาโกได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปในปี 1893 ผู้คนจำนวนนับล้านจะหลั่งไหลมาเยือนเมืองนี้ หญิงสาวนับร้อยคนในจำนวนนั้นน่าจะต้องการที่พักระหว่างเที่ยวชมงาน โฮล์มส์จึงว่าจ้างช่างและคนงานอีกครั้ง เพื่อดัดแปลงอาคารใหม่ให้เป็นโรงแรมที่พัก ว่าที่เจ้าของโรงแรมออกแบบให้มีเตาไว้ในห้องใต้ดิน ระหว่างติดตั้งนั้น นอกจากช่างรับเหมาจะแปลกใจกับการขยายพื้นที่ห้องใต้ดินแล้ว ยังรู้สึกสงสัยกับโต๊ะเหล็กที่ประดับโคมไฟสว่างภายในห้องอีกด้วย เพราะเขาไม่รู้ว่าผู้ว่าจ้างต้องการมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร แต่มาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลังว่า ความจริงแล้วมันดูไม่แตกต่างกับเตาเผาศพเท่าไรนัก

กระทั่งงานเวิลด์ เอ็กซ์โปจัดพิธีเปิดในวันที่ 1 พฤษภาคม 1893 โฮล์มส์เลือกเปิดห้องพักโรงแรมต้อนรับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว ส่วนลูกค้าผู้ชายจะได้รับคำตอบว่าห้องพักถูกจองเต็มแล้ว วิธีการสังหารเหยื่อของโฮล์มส์ ถ้าไม่จับตัวไปขังไว้ในห้องรมแก๊ส และคอยฟังเสียงร้องของเหยื่อก่อนตาย เขาก็จะแอบย่องเข้าไปในห้องของเหยื่อและใช้มีดแทงระหว่างกำลังหลับ ในบางคืน หลังจากสังหารเหยื่อแล้วเขาก็ลากศพไปตามระเบียงทางเดินอย่างย่ามใจ บางครั้งแชปเปลล์จะเป็นลูกมือคอยช่วยชำแหละศพ จากนั้นโฮล์มส์จะขายโครงกระดูกให้กับห้องแล็บของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในราคาที่สูง ศพอื่นๆ ที่ไม่ถูกใช้ประโยชน์เขาจะกลบฝังด้วยปูนดิบ หรือโยนเข้าเตาเผา

หลังจากสังหารเหยื่ออยู่นานนับเดือน ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1893 ฆาตกรโรคจิตก็เดินทางออกจากเมืองชิคาโก ด้วยความเชื่อว่าบรรดาญาติของเหยื่อจะต้องระดมกำลังตามหาบุคคลสูญหาย เกือบปีต่อมาโฮล์มส์ถูกจับกุมตัวในฟิลาเดลเฟียจนได้ เหตุเพราะลงมือฆ่าพิตเซิล ลูกน้องของตนเอง เพียงเพื่อจะเอาเงินประกัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งประเด็นไปที่ข้อสงสัยว่า ลูกๆ ทั้งสามคนของพิตเซิล – อลิซ (Alice) เนลลี (Nellie) และโฮเวิร์ด (Howard) หายไปไหน เพราะมีคนเคยพบเห็นว่าทั้งสามติดสอยห้อยตามมากับโฮล์มส์ นักสืบแฟรงก์ เกเยอร์ (Frank Geyer) ทำหน้าที่สืบสวนคดีนี้เล่าว่า เขาเริ่มสงสัยในตัวโฮล์มส์ทันทีเมื่อโฮล์มส์ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเรื่องเด็กทั้งสามคน เขาว่า โฮล์มส์มีแนวโน้มจะแต่งเรื่องโกหกด้วยถ้อยคำที่สวยหรู และเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมดมักมีการกล่าวอ้างเสริมให้ดูน่าเชื่อถือ

โฮล์มส์สารภาพว่า เขาเกิดมาพร้อมกับปีศาจในตัวเอง เขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองไว้ได้

เกเยอร์ติดตามสืบคดีไปทั่วสหรัฐอเมริกา ท้ายที่สุดเขาก็ไปพบศพของอลิซและเนลลีในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งในโตรอนโต แคนาดา ส่วนโฮเวิร์ดนั้น พิสูจน์พบว่าโฮล์มส์ลงมือฆ่าในรัฐอินเดียนา จากตรงนั้น ตำรวจในชิคาโกจึงเริ่มขยายผล ทั้งๆ ที่ควรจัดการตั้งนานแล้ว โดยการบุกค้นอาคารโรงแรมของโฮล์มส์ มีการตรวจพบห้องรมแก๊สในห้องใต้ดิน โต๊ะเหล็กที่ใช้สำหรับการชำแหละศพมีคราบเลือด ขวดน้ำกรด และเศษซากศพของเหยื่อที่เสียชีวิต

จากพยานหลักฐานจำนวนมากทำให้คณะลูกขุนลงคำตัดสินว่า โฮล์มส์มีความผิด เขาถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในวันที่ 7 พฤษภาคม 1896 ซึ่งนับเป็นการแขวนคอฆาตรกรต่อเนื่องรายแรกของอเมริกา โฮล์มส์ให้การสารภาพต่อศาลว่า เขาสังหารเหยื่อไปจำนวน 28 ราย แต่ความเป็นจริงแล้วน่าจะมากกว่านั้นนับสิบเท่า

โฮล์มส์ไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำความผิดของตน เขาสารภาพว่า เขาเกิดมาพร้อมกับปีศาจในตัวเอง เขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองไว้ได้

โรงแรมฆาตกรรมของฆาตกรต่อเนื่องเปลี่ยวร้างอยู่อีกเพียงไม่กี่เดือน ในฤดูร้อนปี 1895 เกิดเพลิงไหม้เผาอาคารวอดไปทั้งหลัง โดยไม่สามารถสืบทราบสาเหตุได้

 

อ้างอิง:

Tags: , ,